ตัดสัมพันธ์ ชาติอาหรับ VS กาตาร์ : ทั้งหมดเริ่มต้นขึ้นอย่างไร??

กษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุฯ กับ ประมุขกาตาร์ เชค ตามีม บินฮามัด อัลซานี / AFP

บาห์เรน ซาอุดิอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ อียิปต์ และเยเมนได้ตัดสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์โดยกล่าวหาว่ากาตาร์สนับสนุนการก่อการร้าย ริยาดยังกล่าวหาว่ากาตาร์สนับสนุนกลุ่มก่อการร้ายที่ได้รับการหนุนหลังจากอิหร่าน

มูลเหตุ

การตัดสินใจตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วันหลังจากที่เว็บไซต์สำนักข่าว QNA ของทางการกาตาร์ได้เผยแพร่ความเห็น (ถูกกล่าวหาว่าเป็นของผู้ปกครองกาตาร์ เชค ตามีม บิน ฮามัด อาลิซานี) ที่ได้ให้ข้อสังเกตเชิงลบเกี่ยวกับประเทศซาอุดิอารเบีย

ด้วยความโกรธประเทศอ่าวอาหรับเพื่อนบ้านกาตาร์ตอบโต้โดยสั่งบล็อกสื่อกาตาร์หลายสำนัก  “อัลจาซีรา” สำนักข่าวชื่อดังเป็นหนึ่งในสื่อจากโดฮาที่ถูกสั่งห้าม

กาตาร์อ้างว่าแฮ็กเกอร์เข้ามาแฮกเว็บไซต์ของสื่อดังกล่าวและเผยแพร่ความเห็นซึ่งเป็นข้อความปลอม

กาตาร์เผชิญการวิพากษ์วิจารณ์มายาวนานในข้อหาให้การสนับสนุนกลุ่มอิสลามิสต์ รวมถึงการสนับสนุน “ภราดรภาพมุสลิม” (Muslim Brotherhood) กลุ่มการเมืองมุสลิมซุนนี ซึ่งถูกถือเป็นกลุ่มนอกกฎหมายจากทั้งซาอุดีอาระเบียและสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE)

ในอดีตกาตาร์ต้องเผชิญหน้าในความขัดแย้งกับชาติอ่าวเปอร์เซียซึ่งนำโดยซาอุดิอาระเบีย อันเนื่องจากการสนับสนุนอดีตประธานาธิบดีอียิปต์ “นายโมฮัมเหม็ด มูร์ซี” ซึ่งเป็นสมาชิกภราดรภาพมุสลิม เนื่องด้วยสถานการณ์ขัดแย้งนี้ ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และบาห์เรน ได้เรียกเอกอัครราชทูตกลับจากกาตาร์ ในเดือนมีนาคม ปี 2014 (พ.ศ.2557)

เอกอัครราชทูตเหล่านั้นกลับมายังกาตาร์อีกครั้งในแปดเดือนถัดมา หลังจากกาตาร์บีบให้สมาชิกภราดรภาพมุสลิมบางส่วนเดินทางออกจากประเทศและคนอื่นๆ ที่เหลือให้อยู่เงียบๆ หยุดการเคลื่อนไหว

อย่างไรก็ตาม ความขัดแย้งในปี 2014 ก็ถือว่ารุนแรงน้อยกว่าที่เกิดขึ้นในตอนนี้ เนื่องจากไม่มีการปิดล้อมทางบกและทางทะเล หรือการขับไล่ชาวกาตาร์ออกจากดินแดนเพื่อนบ้าน

โยงใยกับอิหร่าน??

แถลงการณ์ในวันจันทร์ (5 มิ.ย.) ซาอุดีอาระเบียกล่าวหาว่ากาตาร์ร่วมมือกับกองกำลังติดอาวุธที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในเมืองกาตีฟ (Qatif) ทางภาคตะวันออกที่มีมุสลิมชีอะห์เป็นชนกลุ่มใหญ่ และในประเทศบาห์เรน อย่างไรก็ตามกาตาร์เคยปฏิเสธความสัมพันธ์กับเตหะรานก่อนหน้านี้

กาตาร์ได้ปฏิเสธอย่างชัดเจนเรื่องให้เงินสนับสนุนกลุ่มหัวรุนแรง แม้จะมีการการอ้างยืนยันจากเพื่อนบ้านในภูมิภาคและเจ้าหน้าที่ของชาติตะวันตก อย่างไรก็ตามกาตาร์ยังคงเป็นผู้อุปถัมภ์ทางการเงินที่สำคัญของ “ฮามาส” ขบวนการต่อสู้ของชาวปาเลสไตน์ที่ควบคุมฉนวนกาซา และให้ที่พักพิงแก่ “คาลิด มัชอัล” หัวหน้าปีกการเมืองของฮามาสมาตั้งแต่ปี 2012

ตัดสัมพันธ์ชาติอาหรับ

บาห์เรนและซาอุดีอาระเบียเป็นชาติแรกที่ประกาศว่าพวกเขากำลังตัดสัมพันธ์กับกาตาร์ในวันจันทร์นี้ (5 มิ.ย.)

สำนักข่าว SPA ของทางการซาอุดีอาระเบียกล่าวว่า กาตาร์ได้โอบอุ้มกลุ่มผู้ก่อการร้ายจำนวนมากรวมทั้งกลุ่มแบ่งแยกทางนิกายที่มุ่งเป้าบั่นทอนความมั่นคงในภูมิภาค รวมถึงกลุ่มภราดรภาพมุสลิม ไอซิส และอัลกกออิดะห์ และให้การส่งเสริมเผยแพร่สารและแผนการของกลุ่มเหล่านี้ผ่านทางสื่อของพวกเขาอย่างต่อเนื่อง

ริยาดยังเรียกร้องให้ “พี่น้องทุกประเทศและบริษัทต่างๆ” ตัดสัมพันธ์กับกาตาร์

อียิปต์เป็นประเทศถัดมาที่กระโดดตามก้นซาอุฯ โดยไคโรระบุว่า “”รัฐบาลสาธารณรัฐอาหรับอียิปต์ได้ตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับกาตาร์ เพราะผู้มีอำนาจของกาตาร์ยังคงทำตัวเป็นปรปักษ์กับอียิปต์” นอกจากนี้ยังกล่าวหาว่าโดฮาสนับสนุนองค์กรก่อการร้ายเช่นกลุ่มภราดรภาพมุสลิม

ต่อมาก็เป็นเยเมนที่เข้าร่วมอยู่ในรายชื่อกลุ่มประเทศที่ตัดสัมพันธ์กับกาตาร์ โดยอ้างว่ากาตาร์กำลังทำงานร่วมกับศัตรูในสงครามกลางเมืองที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศ อัลอาราบิยาและสำนักข่าวรอยเตอร์รายงานโดยอ้างสำนักข่าวซาบาห์

ถ้อยแถลงของเยเมนยังสนับสนุนการตัดสินใจของซาอุฯ ที่จะตัดกาตาร์ออกจากกลุ่มพันธมิตรอาหรับที่สนับสนุนรัฐบาลเยเมนสู้กับกบฏฮูซี

รัฐบาลลิเบียเป็นอีกประเทศถัดมา โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ นายโมฮัมเหม็ด ดาอิรี ประกาศว่าได้ตัดสัมพันธ์กับกาตาร์ ตามรายงานของรอยเตอร์

ต่อมาก็เป็นสาธารณรัฐมัลดีฟส์ ตามรายงานของอัลอาราบิยา

สายการบินหลายแห่งในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์กล่าวว่า พวกเขาจะหยุดการบินระหว่างดูไบและโดฮาตั้งแต่วันอังคาร (6 มิ.ย.) ซึ่งรวมถึงสายการบินเอมิเรตส์ เอทิฮัด ฟลายดูไบ และ แอร์อาระเบีย

ซาอุดิอาระเบียแอร์ไลน์ (Saudia) ได้ระงับเที่ยวบินทั้งหมดที่บินไปยังกาตาร์ โดย บริษัท ได้ทวีตเมื่อวันจันทร์นี้

การตัดสินใจที่จะตัดความสัมพันธ์กับกาตาร์ในวันจันทร์นี้เกิดขึ้นเพียง 10 วันหลังจากที่ประธานาธิบดีสหรัฐฯ “นายโดนัลด์ ทรัมป์” ได้เยือนกรุงริยาดเพื่อเรียกร้องให้ประเทศมุสลิมลุกขึ้นมาต่อต้านกลุ่มอิสลามิสต์หัวรุนแรง เขาเจาะจง “ประเทศอิหร่าน” ว่าเป็นต้นตอหลักที่ให้ทุนและสนับสนุนกลุ่มนักรบติดอาวุธ

Source : rt