ใครได้รับประโยชน์จาก “ตรารับรองฮาลาล” ของไทย??

กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน ยื่นศาลปกครองฟ้องจุฬาราชมนตรี ยกเลิกตราฮาลาล อ้างกลายเป็นช่องให้หาประโยชน์โดยมิชอบ ทั้งที่ไม่มีกฎหมายรองรับให้ทำ / ภาพ ผู้จัดการASTV

กลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดินฟ้องต่อศาลปกครองกลางให้บังคับจุฬาราชมนตรีและคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยให้ยกเลิกตราฮาลาลจากสินค้าทั่วราชอาณาจักร พร้อมทั้งชดใช้ค่าเสียหายให้กับผู้ผลิต ผู้ประกอบการและผู้บริโภคที่ได้รับความเสียหายตลอดระยะเวลาที่มีการติดตราฮาลาล พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี คำฟ้องเป็นไปในทำนองว่าการติดตราฮาลาลถูกบังคับใช้กับสินค้าทั้งหลายอย่างผิดกฎหมาย แต่ข้อเท็จจริงในเรื่องนี้ ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ยัน ผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของฮาลาลตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่มิใช่มุสลิม

เมื่อวันที่ 10 มีนาคมที่ผ่านมา ผู้จัดการASTV รายงานว่ากลุ่มชาวพุทธพลังแผ่นดิน นำโดยนายจรูญ วรรณกสิณานนท์ เข้ายื่นฟ้อง จุฬาราชมนตรี และคณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย รวม 16 คน ต่อศาลปกครอง โดยหวังว่าจะมีคำสั่งให้ตราสินค้า “ฮาลาล” หรือ สินค้าที่ถูกหลักตามศาสนาอิสลาม ให้เป็นสิ่งผิดกฎหมาย และต้องการให้เก็บสินค้าดังกล่าวออกจากท้องตลาดให้หมดภายใน 3 เดือน และจ่ายค่าชดเชยให้กลุ่มผู้ผลิตสินค้าผู้ประกอบการ หรือผู้บริโภค ที่ได้รับความเสียหายจากการเรียกเก็บเงินของผู้ถูกฟ้องคดีตลอดระยะเวลาที่กระทำความผิดพร้อมดอกเบี้ยในอัตราร้อยละ 7.5ต่อปี

นายจรูญยกเหตุผลว่า คณะกรรมการกลางอิสลามฯได้ออกระเบียบจัดเก็บค่าสินค้าตราฮาลาลมาตลอดระยะเวลา 20 ปี โดยที่กฎหมายไม่ได้กำหนดให้ทำ และหลังจากมีรัฐประหารคณะกรรมการกลางอิสลามฯได้พยายามลักดัน พ.ร.บ.ตราฮาลาลผ่านทางสนช.ซึ่งในปัจจุบันยังไม่มีการประกาศใช้ โดยนายจรูญ อ้างว่ามีการพยายามเรียกร้องค่าสัญลักษณ์ฮาลาลจากผู้ผลิตรายต่างๆตั้งแต่หลักหมื่นถึงหลักล้านบาท ทำให้ผู้บริโภคต้องซื้อสินค้าในราคาแพงขึ้นโดยเงินที่ถูกเรียกเก็บนั้นไม่ได้นำเข้าเป็นเงินแผ่นดิน และอาจนำเงินดังกล่าวไปใช้ในเหตุที่เป็นภัยต่อความมั่นคงในประเทศด้วย

นายจรูญให้เหตุผลว่าประเทศมุสลิมทั่วโลกก็ไม่ได้ใช้ตราฮาลาล แต่พอไทยเริ่มทำๆให้หลายๆประเทศเช่น มาเลเซียดำเนินการบ้าง โดยตนเชื่อว่าเป็นการนำหลักคำสอนทางศาสนามาหาประโยชน์

ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย

อย่างไรก็ดี ต่อมาเมื่อวันที่ 11 มีนาคม ดร.วินัย ดะห์ลัน ผู้อำนวยการและผู้ก่อตั้งศูนย์วิทยาศาสตร์ฮาลาล จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย และกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย ได้โพสต์ข้อความในเฟสบุ๊คอธิบายข้อเท็จจริงว่า

การรับรองสินค้าว่า “ฮาลาล” สามารถให้ผู้บริโภคมุสลิมเกิดความเชื่อมั่นในตัวสินค้าเกิดขึ้นในประเทศไทยตั้งแต่ พ.ศ.2492 แล้ว ครั้งนั้นผู้ประกอบการส่งออกเนื้อไก่ไปยังประเทศในตะวันออกกลางเกิดปัญหาไม่สามารถส่งออกได้เนื่องจากประเทศปลายทางไม่ยอมรับว่าไก่จากประเทศไทยถูกเชือดอย่างถูกต้อง บริโภคแล้วอาจเป็นบาป เป็นความเชื่อทางศาสนาสำหรับประชากรมุสลิมที่มีอยู่ทั่วโลกนับถึงวันนี้ไม่น้อยกว่า 1,800 ล้านคน เมื่อผู้ซื้อไม่มั่นใจ ผู้ขายอย่างผู้ประกอบการในเมืองไทยจำเป็นต้องหาทางสร้างความเชื่อมั่น ไม่อย่างนั้นขายไม่ได้ การขอการรับรองตราฮาลาลจึงเกิดขึ้นในประเทศไทยนับแต่นั้น

การรับรองฮาลาลในอดีตทำโดยสำนักจุฬาราชมนตรี จนกระทั่งปลาย พ.ศ.2542 จึงโอนไปที่คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทยและคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด เป็นไปตามพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ที่ให้อำนาจไว้ว่าการดำเนินงานในกิจการศาสนาอิสลามให้เป็นอำนาจขององค์กรอิสลามเหล่านั้น ประโยชน์ที่ได้จากการรับรองฮาลาลจึงเกิดกับผู้ประกอบการซึ่งส่วนใหญ่มิใช่มุสลิม

ประเทศไทยส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารไปยังประเทศมุสลิม 57 ประเทศมีมูลค่า 347 ล้านเหรียญสหรัฐใน พ.ศ.2544 เมื่อถึง พ.ศ.2558 ผ่านไป 14 ปี มูลค่าการส่งออกพุ่งไปอยู่ที่ 6,100 ล้านเหรียญสหรัฐเพิ่มขึ้น 17.6 เท่า เป็นการเติบโตมากที่สุดในบรรดาการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารทั้งหมด ประโยชน์ที่ได้จากประเทศมุสลิมเหล่านั้นไหลมาสู่ผู้ประกอบการไทยโดยตรงและรัฐบาลไทยโดยอ้อมในรูปภาษีแต่ละปีมีจำนวนมหาศาล ทั้งนี้โดยไม่นับการส่งออกผลิตภัณฑ์อาหารฮาลาลไปยังประเทศที่มิใช่มุสลิมที่มีอยู่อีกมหาศาล เมื่อการส่งออกสะดุดลงจากปัญหาเศรษฐกิจซบเซาทั่วโลก การส่งออกผลิตภัณฑ์ฮาลาลกลับเติบโตสวนกระแส ประโยชน์ที่ประเทศไทยได้รับจากฮาลาลมีไม่ถึง 1 เปอร์เซ็นต์ที่กลายไปเป็นรายได้ขององค์กรศาสนาอิสลามซึ่งทำหน้าที่ให้การรับรองฮาลาลอันเนื่องมาจากผู้ประกอบการมาขอรับบริการไม่ใช่การบังคับให้มาขอ เรื่องนี้ต้องทำความเข้าใจกันหน่อย

การร้องต่อศาลปกครองครั้งนี้จะด้วยเจตนาอะไรก็ตามที โดยอาจไม่เข้าใจความสำคัญของการรับรองฮาลาลต่อการสร้างเศรษฐกิจของประเทศ อาจไม่ทราบว่าผลประโยชน์ส่วนใหญ่ของฮาลาลตกอยู่กับคนส่วนใหญ่ที่มิใช่มุสลิม อย่างไรก็ตาม ควรรับรู้ว่าการลดความเชื่อถือเรื่องตราสัญลักษณ์ฮาลาลนั้นผู้เสียประโยชน์โดยตรงคือประเทศไทย และประชาชนไทย หากไม่ให้องค์กรศาสนาอิสลามในประเทศไทยรับรองฮาลาลก็ต้องให้องค์กรจากต่างประเทศเข้ามารับรองอยู่ดี ไม่อย่างนั้นก็ส่งออกไม่ได้ หรือเจตนาคืออย่างนั้น ดร.วินัย ระบุ

ทั้งนี้สำหรับประเทศไทยนั้น คณะรัฐมนตรีได้ให้ความเห็นชอบใน “ยุทธศาสตร์การส่งเสริมและพัฒนาศักยภาพธุรกิจ สินค้าและบริการฮาลาล พ.ศ. 2559-2563” พร้อมแผนปฏิบัติงานภายใต้ยุทธศาสตร์ฯ เพื่อส่งเสริมและสนับสนุนการพัฒนาอุตสาหกรรมฮาลาลไทยทั้งภาคการผลิตและภาคบริการ เพื่อผลักดันให้ประเทศไทยเป็นฐานการผลิตและส่งออกสินค้าและบริการฮาลาลที่สำคัญ หวังขึ้นแท่นระดับ 1 ใน 5 ของโลกด้านฮาลาลในปี 2563 โดยตลาดฮาลาลโลกถือเป็นตลาดที่น่าสนใจมาก เนื่องจากจำนวนประชากรมุสลิมที่มีอยู่ถึงกว่า 1,700 ล้านคนในปัจจุบัน