การรวมกลุ่มของชาวหุย
การเติบโตของศาสนาอิสลามในผืนแผ่นดินจีนมีความแตกต่างตามลักษณะทางด้าน ภูมิศาสตร์ ประวัติศาสตร์ และความสัมพันธ์ทางด้านชนชาติของเมืองต่างๆเป็นต้น ปัจจัยเหล่านี้ทำให้เกิดความหลากหลายและความแตกต่างของชาวหุยในแต่ละเมือง ของประเทศจีน
มณฑล ยูนนานเป็นมณฑลที่ตั้งอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศจีน เป็นมณฑลที่มีเนื้อที่ใหญ่เป็นอันดับที่ 8ของประเทศจีน มีพื้นที่ทั้งหมด 390,000 ตารางกิโลเมตร ปัจจุบันมณฑลยูนนานมีประชากรทั้งหมด 45,966,239 คน มณฑลดังกล่าวมีกลุ่มชนชาติอาศัยอยู่รวมกันมากถึง 25 ชนกลุ่ม แต่ละชนกลุ่มมีความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม ประเพณีและความเชื่อต่างๆ มากมาย ชาวหุยเป็นกลุ่มชนชาติหนึ่งของมณฑลยูนนาน ลักษณะการอาศัยอยู่ของชาวหุย จะอยู่รวมกันกลุ่ม แต่จะกระจายอยู่ทั่วมณฑลยูนนาน เช่นทางเหนือก็จะเป็นเมืองชวี่จิ้ง ทางใต้เป็นเมืองฉู่สงเป็นต้น
เมืองต้าหลี่เป็นเมืองที่ตั้งอยู่ทางด้านตะวันตกของมณฑลยูนนาน ในอดีตเคยเป็นมหานครของมณฑลยูนนาน ปัจจุบัยชื่อเต็มของเมืองคืออำเภอปกครองตัวเองของชาวหยีและชาวไป๋ เป็นเมืองที่มีกลุ่มชนชาติอาศัยอยู่หลายกลุ่ม เช่น กลุ่มชนชาติไป๋ กลุ่มชนชาติหยี กลุ่มชนชาติลีซู กลุ่มชนชาติหุยเป็นต้น การอาศัยอยู่ของกลุ่มชนชาติต่างๆ ในเมืองต้าหลี่ในภาพรวมแล้วกลุ่มชนชาติต่างๆ อาศัยอยู่ร่วมกันอย่างปรองดอง และแต่ละชนชาติได้รับความเคารพซึ่งกันและกันอย่างท่วมท้น
ตามการบันทึกทางประวัติศาสตร์ระบุว่า ในทะเลสาบเอ๋อไห่ของเมืองต้าหลี่มีชาวเปอร์เซียและชาวอาหรับมาบุกเบิกพัฒนา พื้นที่ดังกล่าวตั้งแต่สมัยราชวงศ์ถังและซ่ง กลุ่มชนชาติทั้งสองเข้าสู่ผืนแผ่นดินมังกรเพื่อทำการค้าขายในรูปแบบต่างๆ ซึ่งปัจจุบันนี้ยังคงมีรูปหินสลักของ “ชาวเปอร์เซีย” ที่หมู่บ้านเจี้ยนชวนสือ ชนรุ่นหลังของกลุ่มพ่อค้า ชาวต้าหลี่เรียกพวกเขาว่า “ฟานเค่อท้องถิ่น”
สมัย ราชวงศ์หยวน เกิดเหตุการณ์พิชิตตะวันออกกลางของกลุ่มชนชาติมองโกล หลังจากได้รับชัยชนะจากการสู้รบมีเชลยศึกที่กลับมาพร้อมทหารชนชาติมองโกล เป็นจำนวนมาก ซึ่งเชลยศึกที่ติดตามมาเหล่านี้ ส่วนมากจะประกอบอาชีพค้าขายและเป็นนายช่างสาขาต่างๆ ในปี ค.ศ. 1253 กุบไล่ข่าน ได้นำทหารที่เกี่ยวข้องลงใต้เพื่อปราบปรามเมืองต้าหลี่ จึงทำให้ทหารจำนวนมากหลั่งไหลเข้าสู่เมืองต้าหลี่ขณะเดียวกันส่วนกลางก็ได้ ส่งขุนนางที่เกี่ยวข้องเข้าปกครองเมืองต้าหลี่ ต่อมาราวปีค.ศ. 1381 กษัตริย์จูหยวนจางแห่งราชวงค์หมิง ได้มีคำบัญชาให้ขุนนางต่างๆ นำทัพไปปราบยูนนาน ตามเอกสารต่างๆ จารึกไว้ว่า มีขุนนางที่ติดตามลงใต้ครั้งดังกล่าว 300,000 คน ทหารที่ติดตามลงยูนนานส่วนมากเป็นเชลยศึกที่มาจากกลุ่มประเทศเปอร์เซีย การลงปราบใต้ครั้งดังกล่าว เชลยศึกส่วนใหญ่อาศัยอยู่เมืองต้าหลี่ การปราบปรามภาคใต้ครั้งดังกล่าวถือว่ามีการตั้งถิ่นฐานของพ่อค้าชาว เปอร์เซียที่มีจำนวนมากที่สุด
ประวัติศาสตร์ ของเมืองต้าหลี่ในรอบ 700 ที่ผ่านมานี้ ได้เกิดเหตุการณ์หลายๆ อย่างขึ้นกับชาวหุยในเมืองต้าหลี่ มีทั้งชัยชนะ ความพ่ายแพ้ มีประสบการณ์ และมีบทเรียน การเดินทางของชาวหุยในเมืองต้าหลี่มิได้โปรยด้วยกลิ่นกุหลาบ แต่ชาวหุยในเมืองต้าหลี่ก็มิได้กลัวความลำบาก ยอมเสียสละและมีความเข้มแข็งขึ้นเรื่อยๆ
กล่าวได้ว่าหลังจากที่การปราบปรามยูนนานของราชวงค์หมิง เป็นการเริ่มต้นของการก่อตั้งเป็นกลุ่มชนชาติในเมืองต้าหลี่ กลายเป็นกลุ่มชนชาติชาวหุย หลังจากนั้นเกิดการผสมผสานทางด้านวัฒนธรรมระหว่างวัฒนธรรมอิสลามและวัฒนธรรม ของคนจีนและวัฒนธรรมของกลุ่มชนชาติต่างๆ ในช่วงเวลาดังกล่าวได้เกิดวัฒนธรรม”เหอจิน”ขึ้นในเมืองต้าหลี่ สืบเนื่องมาจาก ในสมัยปลายรัชวงค์ชิงและต้นราชวงค์หมิง มีนักแปลชาวจีนเช่น หวังไต้หยี่ว หม่าจู้ หลิวจื้อเป็นต้น ได้แปลตำราภาษษอาหรับเป็นภาษาจีนจำนวนมาก สามารถกล่าวได้ว่าชาวหุยในเมืองต้าหลี่เติบโตมากับผลงานการแปลของนักวิชาการ เหล่านั้น หลังจากที่นักการศึกษาชาวหุยได้ปฎิรูปการศึกษาศาสนาอิสลามในจีน เริ่มจากการจัดการเรียนการสอนภายในมัสยิด ค่อยๆ ขยายจากปริมาณน้อยสู่ปริมาณมาก จากอดีตถึงปัจจุบันเมืองต้าหลี่ยังคงเป็นเมืองแห่งการศึกษามาตลอดเวลา
ช่วง ปลายราชวงค์ชิง สืบเนื่องจากการคัดค้านเจตนารมณ์ของรัฐบาลกลางของตู้เหวินซิ่ว ทำให้รัฐบาลของราชวงค์ชิงดำเนินการสังหารโหดชาวหุยในเมืองต้าหลี่ ขณะนั้นมีหมู่บ้านชาวหุยที่กระจายอยู่ในเมืองต้าหลี่จำนวน 218 หมู่บ้าน จำนวนประชากรมีมากถึง 260,000 ราย มีมัสยิดจำนวน 175 แห่ง แต่หลังจากการปราบปรามของรัฐบาลกลาง ทำให้ชาวหุยต้องพ่ายแพ้อย่างราบคราบ วัฒนธรรมต่างๆ ของชาวหุยถูกทำลายอย่างสิ้นเชิง
แม้ว่า มีชาวหุยบางส่วนที่สามารถหลบหนีการฆ่าล้างของรัฐบาลชิงได้ ซึ่งการหลบหนีในช่วงเวลาดังกล่าวนั้นมีหลายรูปแบบ เช่นการหลบออกจากส่วนกลางโดยไปหลบต่างเมือง และไม่แสดงตัวตนว่าเป็นชาวหุย บ้างก็หลบหนีออกทางแนวชายแดนจีน-พม่า ทว่าเมื่อกาลเวลาผ่านไปกลุ่มชนชาติที่หลงเหลืออยู่ในเมืองต้าหลี่ ก็มิได้ย่อท้อต่อการดำรงชีวิตจริงที่นั่น พวกเขาเจริญรอยตามนโยบายของรัฐ เพื่อพัฒนาวัฒนธรรมของชาวหุย
หลัง จากปฎิรูปการเปิดประเทศในปัค.ศ. 1978 นโยบายของทางรัฐบาลจีนมีความชัดเจนขึ้น นโยบายของรัฐบาลนอกจากจะเน้นให้ความสำคัญกับทางด้านเศรษฐกิจแล้วทางรัฐบาลก็ ยังคงให้ความสำคัญและความเท่าเทียมทางด้านต่างๆ ของกลุ่มชนชาติด้วย หลังจากการดำเนินนโยบายดังกล่าวเพียง 20 กว่าปี จักเห็นได้ว่าการเปลี่ยนแปลงทางด้านคุณภาพชีวิตของประชาชนมีความชัดเจนมาก ขึ้น ปัจจุบันทั่วเมืองต้าหลี่มีหมู่บ้านชาวหุยทั้งหมด 94 หมู่บ้าน มีมัสยิด 96 แห่ง มีประชากรชาวหุยทั้งหมด 68400 คน นับว่าวัฒนธรรมของชาวหุยได้มีการฟื้นฟูขึ้นอย่างรวดเร็ว
ประเด็น ที่น่าสนใจก็คือ ชาวหุยในเมืองต้าหลี่มิได้หยุดยั้งการพัฒนาทางด้านการศึกษาความรู้ทางด้าน ศาสนา ทั่วเมืองต้าหลี่มีห้องเรียนศาสนา 229 ห้อง มีนักศึกษาที่เรียนจบจำนวน 2971 ราย และมีนักเรียนที่ไปเรียนต่อต่างประเทศจำนวน 60 กว่าคน ที่สำคัญคือมีมัสยิดจำนวน 88 แห่งที่เปิดห้องเรียนสอนศาสนาให้กับเด็ด ผู้หญิงและคนชราได้ศึกษาในยามว่าง ผู้เขียนคิดว่าการให้ความสำคัญทางด้านการศึกษาน่าจะเป็นความทันสมัยที่เรา สามารถหยิบมาประยุกต์ใช้ได้
แหล่งข้อมูลอ้างอิง:
HYPERLINK “http://www.2muslim.com/forum.php?mod=viewthread&tid=259515”
http://www.2muslim.com/forum.php?mod=viewthread&tid=259515
http://huizu.baike.com/article-476193.html
อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
nisareen@mfu.ac.th