กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ , กระทรวงมหาดไทย
และกระทรวงสาธารณะสุข ร่วมเปิดตัว “โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด”
วันนี้ (๗ ก.ย. ๕๘) เวลา ๐๙.๓๐ นางระรินทิพย์ ศิโรรัตน์ อธิบดีกรมกิจการเด็กและเยาวชน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เปิดเผยว่า งานแถลงข่าวเปิดตัวโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยมี รองนายกรัฐมนตรี (พลเรือเอกณรงค์ พิพัฒนาศัย) เป็นประธานการแถลงข่าว พร้อมด้วย รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พลตำรวจเอกอดุลย์ แสงสิงแก้ว) รองปลัดกระทรวงมหาดไทย (นายไมตรี อินทุสุต) และปลัดกระทรวงสาธารณสุข (นายแพทย์ณรงค์ สหเมธาพัฒน์) ร่วมการแถลงข่าว ณ ห้องประชุมวายุภักษ์ ๕ ชั้น ๕ ศูนย์ประชุมวายุภักษ์ ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติฯ แจ้งวัฒนะ
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า การสำรวจอัตราการเกิดของไทยในปีที่ผ่านมา เด็กไทยเกิดใหม่มีจำนวนลดลงจากปีละ 8 แสนคน เหลือเพียง 6 แสนคนในปีที่ผ่านมา เนื่องมาจากคนไทยแต่งงานช้าและไม่ยอมมีบุตร เพราะต้องทำงานนอกบ้านและไม่มีคนเลี้ยงลูก นอกจากนี้ยังพบอีกว่า เด็กไทยอายุต่ำกว่า 20 ปี ให้กำเนิดบุตรจำนวนมาก โดยทารกที่เกิดมามีน้ำหนักตัวน้อยกว่า 2,500 กรัม ทำให้เกิดปัญหาสุขภาพและมีพัฒนาการไม่สมวัย จากสถานการณ์เอง รัฐบาลมีความตระหนักและให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์โดยเน้นการพัฒนาคนทุกช่วงวัยให้ “คน” ในทุกช่วงวัยควรได้รับการเสริมสร้างความรู้ ทักษะ และศักยภาพในทุกด้านอย่างต่อเนื่องเพื่อเป็นรากฐานสำคัญทางสังคมที่มีบทบาทต่อการพัฒนาประเทศในอนาคตอย่างยั่งยืน โดยมีผลจากการศึกษาของ ศ.ดร.เจมส์ เจ เฮคแมน นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบล พบว่าการลงทุนในเด็กเล็กจะได้รับผลตอบแทนในระยะยาวกลับมา 7 เท่า รัฐบาลไทยได้ให้ความสำคัญกับการลงทุนกับการพัฒนาเด็กแรกเกิดในครัวเรือนยากจนและเสี่ยงต่อความยากจนผ่านโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวเพิ่มเติมว่า โครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด เป็นนโยบายสำคัญระดับชาติ ตามแผนบูรณาการการพัฒนาคนตลอดช่วงชีวิต โดยมีกระทรวง พม. กระทรวง มท. และกระทรวง สธ. ร่วมเป็นเจ้าภาพหลัก ซึ่งมุ่งเน้นให้เด็กแรกเกิดได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เพื่อเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพในอนาคต รวมทั้งเป็นหลักประกันให้เด็กได้รับสิทธิด้านการอยู่รอดและการพัฒนา ตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ ๓๑ มีนาคม ๒๕๕๘ เห็นชอบหลักการโครงการเงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิด โดยให้เงินอุดหนุนแก่เด็กแรกเกิดที่อยู่ในครัวเรือนยากจน และครัวเรือนที่เสี่ยงต่อความยากจนที่เกิดระหว่าง วันที่ ๑ ตุลาคม ๒๕๕๘ ถึง ๓๐ กันยายน ๒๕๕๙ รายละ ๔๐๐ บาท ต่อคน ต่อเดือน เป็นเวลา ๑ ปี โดยรัฐจ่ายให้กับมารดาของเด็กแรกเกิด เพื่อใช้ในการเลี้ยงดูเด็ก เป็นการคุ้มครองทางสังคม และสวัสดิการพื้นฐานที่ช่วยแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการเลี้ยงดูเด็กให้ได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพ และมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย นอกจากนี้ ยังเป็นการเพิ่มโอกาสและช่องทางในการเข้าถึงบริการของรัฐ เพื่อให้เด็กได้รับการดูแล อย่างมีคุณภาพ โดยมีอาสาสมัครพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (อพม.) ในพื้นที่ให้การดูแลในมิติด้านสังคมอื่น ๆ เพื่อให้หญิงตั้งครรภ์และเด็กได้รับการดูแลอย่างมีคุณภาพ รวมทั้งมีการส่งต่อข้อมูลหญิงตั้งครรภ์ที่ขอรับสิทธิ์ให้กระทรวงสาธารณสุข เพื่อให้ทีมหมอครอบครัว และอาสาสมัครสาธารณสุข (อสม.) ลงพื้นที่เยี่ยมบ้านให้คำแนะนำดูแลสุขภาพแม่และเด็ก และติดตามพัฒนาการเด็ก
รองนายกรัฐมนตรี กล่าวทิ้งท้ายว่า การลงทุนในเด็กแรกเกิดที่ได้รับเงินอุดหนุนจะทำให้เด็กได้รับการเลี้ยงดูที่มีคุณภาพกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับ และสามารถเข้าถึงบริการทางสาธารณสุขได้มากกว่า ซึ่งเป็นปัจจัยเสริมให้เด็กแรกเกิดและปฐมวัยมีพัฒนาการเหมาะสมตามวัย เป็นพื้นฐานที่สำคัญในการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในช่วงวัยอื่น ๆ ต่อไป ซึ่งนอกจากจะทำให้ พ่อแม่ ผู้ดูแล ได้รับการช่วยเหลือแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลเด็กแล้ว ยังได้รับความรู้ความเข้าใจในการเลี้ยงดูและส่งเสริมพัฒนาการเด็กผ่านบริการต่าง ๆ ของรัฐ เงินอุดหนุนเพื่อการเลี้ยงดูเด็กแรกเกิดจึงเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าเพื่อพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ และสร้างรากฐานที่สำคัญของการพัฒนาประเทศ เพื่อให้เด็กสามารถเติบโตเป็นประชากรที่มีคุณภาพของสังคม และเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศต่อไปในอนาคต