เหตุการณ์ล้อเลียนและดูหมิ่นศาสดาอิสลามไม่ใช่เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นใหม่ในสังคมยุโรป การดูหมิ่นศาสนาอิสลาม การเผาคัมภีร์อัลกุรอาน การ์ตูนล้อเลียน เป็นสิ่งที่พบเห็นตั้งแต่ช่วงสี่ทศวรรษที่ผ่านมาทั้งใน ฝรั่งเศส เยอรมัน เดนมาร์กนอร์เวย์ อังกฤษ สาธารณรัฐเช็ก และอีกหลายประเทศ
กระแส Islamophobia และ Anti Islamism (โรคกลัวอิสลามและต่อต้านอิสลาม) ถูกสร้างขึ้นตั้งแต่คริสต์ทศวรรษที่ 1970 แต่เริ่มมีความโดดเด่นตั้งแต่ 1979 เป็นต้นมาหลังจากชัยชนะการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่าน และเริ่มสัมฤทธิ์ผลอย่างเป็นรูปธรรมหลังเหตุการณ์ 11 กันยายน 2544 หรือ 9/11 หากถามถึงตัวแปรต้นของการเกิดกระแสโรคกลัวและต่อต้านอิสลามโดยเฉพาะสังคมยุโรปและสหรัฐ สามารถกล่าวได้ว่า การขยายตัวของศาสนาอิสลามในกลุ่มประเทศยุโรปและทวีปอเมริกา การขยายตัวของกระแสการเมืองเชิงอัตลักษณ์ (Identity Politics) การรักษาบทบัญญัติที่เคร่งครัดของอิสลามของชาวมุสลิม (Islamic Law) การสร้างเอกภาพของประชากรมุสลิม (Islamic Unity) การขยายความร่วมมือภูมิศาสตร์ทางการเมือง ( Political Geography)
ศัตรูอิสลามพยายามยัดเยียดและอุปโลกตัวแปรตาม เพื่อสร้างเจตคติเชิงลบ ( Negative Attitude) ให้เกิดขึ้นในเวทีโลก อาทิ อิสลามนิยมความรุนแรงชนิดสุดโต่ง ต่อต้านอารยธรรมและวัฒนธรรมพื้นฐานตะวันตก สังหารผู้คิดต่าง ต่อต้านการเรียนรู้และอยู่ร่วมในแนวคิดสังคมพหุวัฒนธรรม (Multiculturalism) และอีกหลายเหตุผลที่กลุ่มต่อต้านอิสลามพยายามสร้างเจตคติเชิงลบให้เกิดขึ้น
ขบวนการไซออนิสต์สากลหวาดกลัวต่อกระแสการยอมรับอิสลามในเยอรมัน ฝรั่งเศส อังกฤษและสหรัฐ เพราะการขยายตัวประชาชาติอิสลามจากตะวันออกกลางสู่กลุ่มประเทศในยุโยปและสหรัฐ หมายถึงการลดทอนอำนาจมืดของขบวนการไซออนิสต์สากลและมหาอำนาจในกลุ่มประเทศที่ไม่ใช่มุสลิม จึงผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงแนวคิด ทัศนคติเชิงลบและมุมมองที่ต่อต้านอิสลามพร้อมมุสลิมทั่วทั้งโลกให้อุบัติขึ้น กลุ่มทุนหลักของขบวนการไซออนิสต์สากลที่มีอิทธิพลในสหรัฐ เอเชียกลางและยุโรปจึงได้เริ่มแผนปฏิบัติการเพื่อสร้างความน่าจะเป็นจากเหตุผลข้างต้น โดยร่วมสร้างขบวนการก่อการร้ายในนามมุสลิม ทั้ง ตาลิบัน อัลกออิดะห์ โบโกฮาราม และล่าสุดคือขบวนการไอซีซซึ่งเป็นขบวนการบนดิน ซ้ำยังมีขบวนการใต้ดินในนามขบวนการก่อการร้ายมุสลิมอีกเป็นจำนวนมากที่ถูกชักใยจากหน่วยสืบราชการลับของชาติมหาอำนาจ
ภาพการบุกสังหาร การตัดคอผู้บริสุทธิ์ การสังเวยชีวิตผู้คิดต่าง การล่วงละเมิดทางเพศ ฯลฯ คือประมวลภาพที่ถูกฉายอย่างรวดเร็วในโลกไร้พรมแดน อิสลามถูกนำเสนอต่อประชาคมโลกว่าเป็นศาสนาที่ล่วงละเมิดสิทธิและชีวิตของเพื่อนมนุษย์ อิสลามคือศาสนาที่นิยมความรุนแรงและสุดโต่ง อิสลามคือศาสนาที่ต่อต้านความเจริญก้าวหน้าทางสังคม ทำให้กระแสต่อต้านอิสลามและโรคกลัวอิสลามมีน้ำหนักมากพอที่ส่งผลให้สังคมสหรัฐและยุโรปเริ่มหวาดกลัวพร้อมมีการลุกขึ้นต่อต้านประท้วงของคนในชาติ และกดดันรัฐบาลเพื่อหามาตรการควบคุมทางกฏหมายจึงปรากฏเป็นรูปธรรมในหลายประเทศ อาทิ การห้ามคลุมหิญาบของข้าราชการในฝรั่งเศส การห้ามแต่งกายในเชิงสัญลักษณ์ของอิสลาม การจำกัดกิจกรรมทางศาสนา
ไทม์ไลน์การดูหมิ่นศาสดาอิสลามเกิดขึ้นอย่างเสมอในสังคมตะวันตก เริ่มเด่นชัดจากการเขียนหนังสือ The Satanic Verses (โองการปีศาจ) โดยซัลมานรุดี นักเขียนชาวอังกฤษเชื้อชาติอินเดีย เมื่อปี 1988 ซึ่งเป็นการลดเกียรติและดูหมิ่นท่านศาสดาและศาสนาอิสลาม รุชดีได้รับการร้องขอจากสำนักพิมพ์แห่งหนึ่งของขบวนการไซออนิสต์สากลให้ประพันธ์หนังสือเพื่อทำลายอิสลามและสร้างเรื่องโกหกมดเท็จต่ออิสลาม อัลกุรอานและท่านศาสดา รุชดีได้ค่าตอบแทนถึงแปดแสนห้าหมื่นปอนด์ และสำนักพิมพ์เพนกวินในลอนดอน ได้ตีพิมพ์ครั้งแรกเดือนตุลาคม 1988 การตีพิมพ์หนังสือโองการปีศาจได้สร้างความไม่พอใจและกระทบต่อจิตใจของประชาชาติอิสลามทั่วโลก อิมามโคมัยนีผู้นำการปฏิวัติอิสลามในสมัยนั้นได้ออกคำชี้ขาดหรือฟัตวา สั่งประหารชีวิตรุชดี ทั่วโลกต่างขานรับคำฟัตวาของอิมามโคมัยนีและเกิดการเดินขบวนต่อต้านและประณามอย่างกว้างขวาง จนทำให้รุชดีต้องหลบซ่อนตราบจนถึงปัจจุบัน การตอบแทนความเจ็บปวดของประชาชาติอิสลามโดยตะวันตก คือการเติมเชื้อเพลิงเเห่งความเจ็บปวดของโลกอิสลามโดยการมอบรางวัล Whitbread Prize ให้แก่รุชดีเพื่อเป็นรางวัลจากหนังสือโองการปีศาจ
ในปี 2004 หนังสือพิมพ์ ยิลลันด์ โพสเทน ( Jyllands Posten) ของเดนมาร์ก นำภาพการ์ตูนล้อเลียนและดูหมิ่นท่านศาสดาอิสลาม มาพิมพ์เผยแพร่ ได้สร้างกระแสลุกต่อต้านของประชาชนมุสลิมทั่วโลก
ในปี 2011 หนังสือพิมพ์รายสัปดาห์แนวเสียดสี ชาร์ลี เอบโด (Charlie Hebdo) ได้เขียนการ์ตูนดูหมิ่นท่านศาสดา
ในปี 2012 ชาร์ลี เอบโด ได้ตีพิมพ์การ์ตูนล้อเลียนท่านศาสดาอิสลามในลักษณะที่เปลือยกาย ซึ่งเป็นการไร้ศีลธรรม จรรยา ทำให้ประชากรมุสลิมทั่วทั้งโลกต่างลุกขึ้นประท้วงและประณามจนนำไปสู่การบุกสังหารและยิงถล่มอาคารสำนักงาน ชาร์ลี เอบโด จนทำให้มีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บจำนวนนึง
จนล่าสุดเมื่อกลางเดือนตุลาคม 2020 นายซามูเอล พาที ครูสอนวิชาประวัติศาสตร์โรงเรียนมัธยมแห่งหนึ่งในฝรั่งเศส ได้นำภาพล้อเลียนและดูหมิ่นท่านศาสดาจากนิตยสารดังกล่าว นำไปประกอบใช้การสอนในห้องเรียนที่มีนักเรียนหลายคนเป็นมุสลิม เพื่อถกเถียงเรื่องเสรีภาพในการแสดงความเห็น จนถูกคนร้ายที่อ้างว่าเป็นคนสัญชาติเชชเนียสังหารลง การสังหารครูมัธยมโดยมุสลิมได้สร้างความไม่พอใจของชาวฝรั่งเศสเป็นจำนวนมาก ทำให้ประชาชนออกมาเดินขบวนและต่อต้านมุสลิมและอิสลามอย่างเห็นชัด เสมือนกับเป็นแรงบันดาลใจชนิดเฉียบพลันต่อแนวคิดโรคกลัวอิสลามให้ปรากฏขึ้นอีกครั้ง
Islamist Separatism หรือกลุ่มอิสลามแยกเอกเทศ ถูกกล่าวโดยประธานาธิบดี มาครง ของฝรั่งเศส โดยเรียกมุสลิมดังกล่าวว่า กลุ่มสุดโต่งและพยายามสร้างอธิปไตยคู่ขนานกับรัฐเซคคิวลาร์ลิสม์ (Secularism) ของฝรั่งเศส และประกาศว่าจะต่อสู้กับมุสลิมก่อการร้ายให้ถึงที่สุด นับตั้งแต่เหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส มัสยิดและโรงเรียนสอนศาสนาอิสลามถูกปิดมากกว่า 70แห่ง บรรดาอิมามหรือครูผู้สอนศาสนาหลายท่านถูกจับกุมและถูกควบคุมตัวโดยรัฐบาล พลเมืองมุสลิมชาวฝรั่งเศสถูกจับตามองมากเป็นพิเศษ ทำให้ประชาชนมุสลิมผู้อพยพรุ่นที่สองและสามจนได้รับสัญชาติฝรั่งเศส รู้สึกได้ถึงความเหลื่อมล้ำทางสังคม และความไม่เท่าเทียมกันในฐานะพลเมืองฝรั่งเศส มาครงพยายามสร้างกลไกทางการเมืองเพื่อสร้างค่านิยมจากประชาชน โดยโยนความผิดทุกประการยังมุสลิมและไม่คำนึงถึงต้นเหตุจากโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้น และน่าเสียดายที่ผู้ก่อเหตุถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจวิสามัญเร็วไป หลังจากกล่าวว่า พระเจ้าผู้ยิ่งใหญ่ ซึ่งถ้าจับเป็นได้และมีการดำเนินคดีอาจมีอะไรให้กระจ่างมากขึ้น
วาทกรรมเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด หรือการแสดงออก (Freedom of Speech, Freedom of Expression) ในฐานะพลเมืองของหลายประเทศในสังคมตะวันตกและฝรั่งเศส คือปัญหาทางโครงสร้างในระบอบประชาธิปไตยในทุกระบบ หากขาดคำอธิบายข้อจำกัด ขอบเขต และสิทธิเสรีภาพของการแสดงออกที่ชัดเจน จะทำให้ขาดดุลยภาพในสังคมประชาธิปไตยที่มีความหลากหลายจากชาติพันธ์ุ ศาสนา สีผิว และวัฒนธรรมได้ เพราะปัจจัยภายนอกสามารถสร้างความอ่อนไหวต่อความรู้สึกที่เปราะบางของความเชื่อและความศรัทธาของประชาชน หากคำนึงถึงการอยู่ร่วมในสังคมที่มีความหลากหลายทางความเชื่อ เคารพต่อศรัทธาของผู้คิดต่างตามกรอบการอยู่ร่วมกันอย่างสงบและสันติสุข ปัญหาความขัดแย้งที่ลุกลามสร้างความโกลาหลในสังคมจะถูกดับลง
การปกครองในระบบประชาธิปไตยทั้งเสรีนิยม หรือทุนนิยมบางประเทศ ได้คำนึงถึงเหตุผลข้างต้น และสกัดกั้นแนวคิดความยัดแย้งที่อาจปะทุได้ทุกเมื่อด้วยอำนาจรัฐและกลไกทางกฏหมายเช่นประเทศฝรั่งเศส กฏหมายห้ามพูดถึงเหตุการณ์ ฮอโลคอสต์ (The Holocaust) หรือการฆ่าล้างเผ่าพันธ์ุชาวยิว ที่นาซีนำนโยบายของรัฐเยอรมันไปปฏิบัติในทวีปยุโรปเพื่อฆ่าล้างชาวยิวในสงครามโลกครั้งที่สอง ซึ่งสาส์นท่านผู้นำสูงสุดการปฏิวัติอิสลามแห่งอิหร่านได้ถามยังประชาชนและประธานาธิดีฝรั่งเศสที่ห้ามการพูดถึง ฮอโลคอสต์ แต่การดูหมิ่นท่านศาสดาสามารถกระทำได้
ในหลายประเทศมีกฏหมายห้ามพูดถึงการเหยียดชาติพันธ์ุคนผิวสี (Racial Discrimination) การต่อต้านยิว ( Antisemitism) การดูหมิ่นประมุขสูงสุดของชาติ ทั้งในระบอบราชาธิปไตย (Constitutional Monarchy) สมบูรณาญาสิทธิราชย์ (Absoloute Monarchy) ประชาธิปไตยแบบระบบประธานาธิบดี (Presidental System) หรือสาธารณรัฐอิสลามในระบอบผู้นำสูงสุดทางจิตวิญญาณ (Supreme Leader) แม้แต่บางประเทศในยุโรปยังมีกฏหมายห้ามเกลียดชังกลุ่มรักร่วมเพศ (Homopobia) สิ่งข้างต้นไม่สามารถกระทำ ได้แต่การดูหมิ่น ลดเกียรติท่านศาสดาสามารถกระทำได้
ศาสนาและศาสดาของทุกศาสนา คือศูนย์รวมศรัทธาของประชาชนทุกหมู่เหล่า อุดมการณ์ศรัทธาคือแรงขับเคลื่อนที่ทรงพลัง สามารถสร้างความสามัคคีให้เกิดขึ้นในชาติ หรือบางครั้ง สามารถสร้างแรงต้านทานที่ทรงอิทธิพลเหนือยุทโธปกรณ์จากข้าศึกที่รุกราน แต่ทำไมกฏหมายของหลายชาติโดยเฉพาะฝรั่งเศสถึงอนุญาตให้มีการดูหมิ่นศาสดาอิสลามภายใต้การรองรับของกฏหมาย “ว่าด้วยสิทธิและเสรีภาพของการแสดงออก” ซึ่งสามารถสร้างการกระทบต่อจิตใจของชาวมุสลิมทั่วทั้งโลกเกือบสองพันล้านคน ในขณะที่หลายชาติโดยเฉพาะศาลสิทธิมนุษยชนของยุโรปเอง )ECHR) ได้ลงมติว่า การดูหมิ่นเหยียดหยามศาสนาและท่านศาสดาอิสลามไม่ข้องเกี่ยวใดต่อกฏหมายสิทธิในหมวดเสรีภาพของการแสดงออก
ศาสนาอิสลามให้การเคารพในศรัทธาของผู้อื่น และไม่อนุญาตให้ด่าทอ ดูหมิ่นต่อสิ่งที่เพื่อนมนุษย์ให้การนับถือและเคารพรักทุกประการ หลายโองการจากพระมหาคัมภีร์อัลกุรอานซึ่งเป็นธรรมนูญสูงสุดของชาวมุสลิม พระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสว่า
وَلَا تَسُبُّوا الَّذِينَ يَدْعُونَ مِن دُونِ اللَّهِ
และพวกเจ้าจงอย่าด่าทอ บรรดากลุ่มชน(คนต่างศาสนิกที่ไม่ใช่มุสลิม) ท่ีวิงวอนขอจากสิ่งอื่นนอกจากอัลลอฮ์ (ที่ไม่ใช่พระเจ้าของเจ้า)
อิสลามไม่อนุญาตให้ล่วงละเมิดต่อสิทธิของผู้อื่นทั้งมนุษย์ หรือสิ่งถูกสร้างอื่น อาทิ เดรัจฉานและธรรมชาติ อิสลามสนับสนุนให้อยู่ร่วมอย่างสันติสุขในทุกมิติของความต่างทางศรัทธาและเคารพสิทธิเสรีภาพในเรื่องความเชื่อ อิสลามตั้งอยู่บนหลักการที่ทรงคุณค่าและให้เคารพต่อผู้คิดต่างในเรื่องศาสนาและให้เกียรติต่อประชาชาติในฐานะเพื่อนร่วมโลก แต่ภาพที่ถูกสร้างจากขบวนการทำลายอิสลามทั้งบนดินและใต้ดิน คือการเข่นฆ่าผู้บริสุทธิ์ ป่าเถื่อน ต่อเพื่อนมนุษย์ ศาสนาแห่งความรุนแรง หรือสิ่งเหล่านี้ เป็นเพียงทฤษฎีที่ขบวนการไซออนิสต์สากลและชาติมหาอำนาจสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายอำนาจอิสลาม และสร้างความเกลียดชังต่อสังคมมุสลิม
ในฐานะมุสลิมขอประกาศว่า ศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อล) คือศาสนทูตองค์สุดท้ายจากพระผู้เป็นเจ้า ท่านถูกประทานลงมาเพื่อมวลประชา มิได้จำกัดเฉพาะศาสนาอิสลามเท่านั้น เพราะพระผู้เป็นเจ้าได้ตรัสในพระมหาคัมภีร์อัลกุรอาน ว่า เราได้ส่งเจ้ามาเพื่อเป็นศาสนทูตองค์สุดท้ายสำหรับมนุษยชาติ ดังนั้นศาสดามุฮัมหมัด (ศ็อล) เป็นศาสดาของมนุษยชาติทุกท่าน
ท้ายสุดนี้ ขอประณามการดูหมิ่นท่านศาสดาที่เกิดขึ้นในฝรั่งเศส และขอประณามประธานาธิบดีแอมมานุแอล มาครง ที่ได้เปิดเสรีภาพภายใต้วาทกรรมอันอัปยศ สิทธิเสรีภาพในการแสดงออก เพื่อลบหลู่และดูหมิ่นศาสนทูตที่ประเสริฐจากพระผู้เป็นเจ้า
นายกสมาคมนักเรียนเก่าไทย-อิหร่าน