“วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม” เปิดโลกแห่งการศึกษายุคใหม่ ผ่านศูนย์อิสลามศึกษา ประตูสู่ “วัฒนธรรมเปอร์เซีย”

สู่โลกแห่งการศึกษาไร้พรมแดน กับการแลกเปลี่ยนครั้งสำคัญทางวัฒนธรรมระหว่างไทย-อิหร่าน ก่อนต่อยอดสู่อนาคตแห่งความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีและธุรกิจการค้า พร้อมเดินหน้าเข้าสู่ AEC กับ ศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา โดยวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม

ประเทศอิหร่าน หรือ “เปอร์เซีย” เป็นอู่อารยธรรมที่เก่าแก่ที่สุดแห่งหนึ่งของโลก และมีความน่าสนใจทั้งในแง่ของประวัติศาสตร์ ตลอดจนการศึกษาด้านศาสนา และได้เผยแผ่ออกไปยังภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกรวมทั้งประเทศไทย มาแล้วกว่าพันปี และคนไทยรู้จักวัฒนธรรม “เปอร์เซีย” มายาวนานหลายยุคหลายสมัย ซึ่งเป็นวัฒนธรรมที่มาพร้อมๆ กับการค้า และการทูต และเมื่อมาเป็นประเทศอิหร่านในปัจจุบัน คนไทยจึงมีความคุ้นเคยกับวัฒนธรรมนี้อย่างใกล้ชิด

และกลายมาเป็นความร่วม มือครั้งสำคัญอีกครั้ง ในด้านการศึกษาวัฒนธรรม และศิลปวิทยาวิชาการหลากหลายแขนง ผ่าน “ศูนย์อิสลามศึกษา” และ “ศูนย์อิหร่านศึกษาและภาษาเปอร์เซีย” ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างประเทศอิหร่านและ “วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม”  โดยมีพิธีเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๙ พฤศจิกายน ที่ผ่านมา

ประวัติศาสตร์ความสัมพันธ์ไทยอิหร่าน

นายมุสตอฟา นัจริญอน ซอเดะ อุปทูตวัฒนธรรม สถานเอกอัครราชทูตอิหร่าน ประจำประเทศไทย เปิดเผยกับ “เดอะพับลิกโพสต์” ถึงเส้นทางแห่งความสัมพันธ์อันใกล้ชิด ทั้งในด้านวัฒนธรรม การค้า และการทูต จาก อดีตจวบจนปัจจุบันว่า จริงๆ แล้ว ชาวเปอร์เซีย (อิหร่าน) ได้เดินทางเข้ามาค้าขายในภูมิภาคนี้ นับตั้งแต่สมัยสุโขทัยเป็นต้นมา แต่ความเจริญในด้านการค้าและการทูตได้พัฒนาสูงสุดในสมัยกรุงศรีอยุธยา และต่อเนื่องแนบแน่นมาถึงยุคกรุงรัตนโกสินทร์

ดังนั้นความสัมพันธ์ ระหว่างประเทศและอิหร่านจึงมีมายาวนาน ในฐานะมิตรประเทศที่แน่นแฟ้น และมีการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมในด้านต่างๆ กันมายาวนานนับพันปี จึงเป็นสิ่งที่ดีที่ในปัจจุบัน จะมีแนวคิดของการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมผ่านศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา โดยมีศาสนาอิสลามเป็นศูนย์กลาง  ซึ่งหวังว่าไทยและอิหร่านจะได้รับประโยชน์ที่จะพัฒนาในด้านต่างๆ ร่วมกัน และเป็นความร่วมมือครั้งสำคัญบนความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้น”

อีกครั้งของความร่วมมือครั้งสำคัญระหว่างไทย-อิหร่าน

จากประวัติศาสตร์ความ สัมพันธ์ที่ยาวนานนับพันปี สู่เส้นทางแห่งความร่วมมือกับหลากหลายสถาบันการศึกษาชั้นนำในประเทศไทย และล่าสุด ที่ “วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม” ที่เป็นจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญ ซึ่งเป็นช่วงเวลาของการเข้าสู่การเป็นประชาคมอาเซียน หรือ AEC  ที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ

ความร่วมมือในการจัด ตั้งศูนย์อิสลามศึกษา โดยอิหร่านและไทย ที่เปิดขึ้นอีกแห่งที่ “วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม” มีความสำคัญและแตกต่างกับอีกหลายสถาบันที่เคยมีความร่วมมือมาแล้วก่อนหน้า นี้ และมีความสำคัญกับการเตรียมพร้อมเข้าสู่  AEC ที่จะมาถึงในปี 2558 นี้  โดยอุปทูตอิหร่านประจำประเทศไทย กล่าวย้ำว่า “ในกลุ่มประเทศอาเซียน ไทยมีศักยภาพในด้านการศึกษา และในด้านต่างๆ เป็นลำดับต้นๆ อิหร่านจึงให้ความสนใจที่จะแลกเปลี่ยนความรู้ในด้านต่างๆ กับไทย อีกทั้งการเข้าสู่ AEC ในอนาคต ของประเทศในกลุ่มอาเซียน จะมีประเทศมุสลิมเป็นจำนวน ที่จะเป็นโอกาสอันดีในการขยายความร่วมมือในด้านต่างๆ ของอิหร่านในภูมิภาคนี้ต่อไปในอนาคต”

ทูตอิหร่านย้ำสถาบันการศึกษาไทยมีศักยภาพ

นายฮุสเซน คามาเลียน เอกอัครราชทูตอิหร่านประจำประเทศไทย กล่าวว่า “ในมุมมองทางด้านศิลปะและวัฒนธรรม สามารถทำกิจกรรมได้เยอะมาก ความร่วมมือในลักษณะนี้ จะเป็นมหาวิทยาลัยไหนก็ได้ ซึ่งการศึกษาจะเป็นต้นทางแห่งการแลกเปลี่ยนในด้านอื่นๆ ทั้งในด้านเทคโนโลยีและด้านธุรกิจต่อไป  สำหรับประเทศไทยแล้ว หลายๆ สถาบันการศึกษา ไม่ใช่เป็นสถาบันในระดับภูมิภาคเท่านั้น แต่ยังเป็นสถาบันระดับสากลในระดับโลก แน่นอน อิหร่านให้ความสนใจกับการร่วมมือในทุกๆ สถาบันที่แสดงความจำนงเข้ามา และพร้อมที่จะสนับสนุนในทุกๆ ด้าน รวมถึงการแลกเปลี่ยนทางการศึกษาระหว่างนักศึกษาไทย และอิหร่าน

และไม่เฉพาะคนไทย เท่านั้นที่สนใจในการศึกษาเรียนรู้ด้านวัฒนธรรมของอิหร่าน แต่คนอิหร่านก็จะศึกษาวัฒนธรรมไทย ผ่านศูนย์ดังกล่าว ที่จะเป็นจุดเริ่มต้นของหลากหลายโครงการแลกเปลี่ยนในอนาคต

สำหรับวิทยาลัย เทคโนโลยีสยามแล้ว เป็นสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพ และเป็นการสร้างให้เกิดความร่วมมือที่หลากหลายนอกเหนือจากภาษาและวัฒนธรรม แล้ว ยังมีในเรื่องของเทคโนโลยีทางด้านวิทยาศาสตร์ ซึ่งวิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม นับว่ามีความพร้อมและเป็นสถาบันการศึกษาที่มีศักยภาพสูงแห่งหนึ่งของ ประเทศไทย และหวังว่าจะได้รับความร่วมมือเช่นนี้จากสถาบันการศึกษาอื่นๆ ในประเทศไทยเพิ่มขึ้นอีก

อธิการบดีเผย เตรียมต่อยอดพัฒนาสู่ความร่วมมือด้านเทคโนโลยี พลังงาน

ขณะ ที่ “อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช” อธิการบดี วิทยาลัยเทคโนโลยีสยาม กล่าวว่า “ศูนย์อิสลามศึกษาจัดตั้งขึ้นโดยมีเป้าหมาย ส่งเสริมการศึกษาเรียนรู้และแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมระหว่างไทยกับอิหร่าน ซึ่งสำหรับประเทศอิหร่านเป็นประเทศที่ยิ่งใหญ่ และมีความเจริญในด้านต่างๆ มายาวนานในอดีต โดยคนไทยควรจะได้เรียนรู้ในด้านต่างๆ ของประเทศอิหร่าน ที่สามารถปรับนำเอาใช้ในการพัฒนาด้านต่างๆ ในประเทศไทยได้ ซึ่งจะเป็นประโยชน์ทั้งในด้านการศึกษา ศาสนา และอนาคตกับการพัฒนาความร่วมมือไปสู่ความร่วมมือในด้านเทคโนโลยีต่างๆ ในอนาคต”

IMG_4810_resize“อาจารย์พรพิสุทธิ์ มงคลวนิช”

“ปัจจุบันมีนักศึกษา มุสลิมในวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามประมาณ 200-300 คน และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นทุกปี ศูนย์ดังกล่าวจะเป็นศูนย์รวมในการให้ข้อมูล และการศึกษาทางด้านวัฒนธรรมและศาสนา เป็นแหล่งให้ความรู้และสนับสนุนนักศึกษามุสลิมที่สนใจ ปกติแล้วทางวิทยาลัยฯ จะมีการสอนและอบรม วิชาจริยศึกษาให้กับนักเรียนนักศึกษาอยู่แล้ว โดยมีวิชาจริยศึกษาใน ศาสนาพุทธเป็นหลัก ซึ่งการเปิดศูนย์ดังกล่าวก็จะมีการเน้นการศึกษาในวิชาจริยศึกษา และศาสนา ในทางมุสลิมเพิ่มขึ้นมา

ซึ่งนอกเหนือจาก กิจกรรมในส่วนของการส่งเสริมการเรียนรู้ด้านวัฒนธรรม และเป็นแหล่งข้อมูลสำหรับนักศึกษาทั้งในด้านวัฒนธรรมและศาสนาแล้ว ศูนย์อิสลามศึกษายังมีกิจกรรม โครงการจัดการศึกษาอบรมนักเรียนไทยที่สนจะเรียนภาษาและการศึกษาต่อในประเทศ อิหร่านและประเทศมุสลิมต่างๆ

รวมถึงการขยายความร่วม มือในอนาคตที่นอกเหนือจากด้านวัฒนธรรม ก็จะมีด้านพลังงาน เนื่องจากประเทศอิหร่านเป็นประเทศที่เชี่ยวชาญในเทคโนโลยีทางด้านพลังงาน และพลังงานทดแทน ตรงนี้ก็มีการแลกเปลี่ยนด้วยการส่งอาจารย์ของวิทยาลัยไปศึกษาดูงานในกรุง เตหะราน เกี่ยวกับเทคโนโลยีในด้านพลังงาน พลังงานนิวเคลียร์  และพลังงานทดแทนด้วย”

“และสำหรับความร่วมมือ ในครั้งนี้ นับว่าประเทศอิหร่านให้ความสำคัญกับประเทศไทยและวิทยาลัยฯ เป็นอย่างมาก โดยจะมีการขยายความร่วมมือ และการทำบันทึกข้อตกลงต่างๆ ร่วมกันอีกในอนาคต เนื่องจากนโยบายของประเทศไทย มีนโยบายที่เอื้อต่อการแลกเปลี่ยนทางวัฒนธรรมมากที่สุด เรียกได้ว่ามากที่สุดในอาเซียนก็ว่าได้ จึงเป็นโอกาสอันดี และทางอิหร่านก็มีความยินดีที่จะถ่ายทอดแลกเปลี่ยนในด้านต่างๆ กับไทยมากขึ้น” อธิการบดี วิทยาลัยเทคโนโลยีสยามกล่าว

ผู้บริหารศูนย์อิสลามศึกษาเล่าถึงประสบการณ์ในอิหร่าน

ด้าน ดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน  ผู้อำนวยการศูนย์อิสลามศึกษา, อิหร่านศึกษาและภาษาเปอร์เซีย กล่าวถึงประสบการณ์ ในฐานะอดีตนักเรียนไทยในอิหร่าน และการเปิดศูนย์ฯ ในวิทยาลัยเทคโนโลยีสยามว่า “ผมเป็นนักศึกษาไทยคนหนึ่งที่ได้ผ่านการศึกษามาจากประเทศอิหร่าน  ณ เมืองกุม มหาวิทยาลัยนานาชาติอัลมุสตอฟา  ส่วนศูนย์อิสลามศึกษามีความเป็นมา เมื่อต้นปี 57  นี้เอง เนื่องจากทางวิทยาลัยตั้งใจจะรองรับนศ.มุสลิมทั่วประเทศเข้ามาศึกษาในระดับ ปริญญาตรี และปริญญาโท”

“ศูนย์ อิสลามศึกษาจะทำหน้าที่และมีบทบาทในให้บริการทางวิชาการและศาสตร์อิสลามที่ เป็นวิชาพื้นฐานแก่นักศึกษา  ส่วนศูนย์อิหร่านศึกษาและภาษาเปอร์เซีย ก็ได้รับการประสานงานระหว่างวิทยาลัยฯ กับทางศูนย์วัฒนธรรมสถานเอกอัครราชทูต อิหร่าน ในกรุงเทพฯ เพื่อให้บริการทางด้านภาษาเปอร์เซียและการศึกษาด้านศิลปะวัฒนธรรมของอิหร่าน ที่เคยมีสัมพันธ์อันดีระหว่างไทยกับอิหร่านตลอดมา”

IMG_4847_resizeดร.ประเสริฐ สุขศาสน์กวิน

ในฐานผู้บริหารศูนย์ฯ มีมุมมองอย่างไรต่อศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา ภาษาเปอร์เซีย?

โลกปัจจุบันเป็นโลก แห่งการเรียนรู้และได้ประกาศการต่อสู้กับความอวิชชา  ดังนั้นการเปิดศูนย์อิสลามศึกษา จะตอบโจทย์ต่อผู้แสวงหาความรู้และผู้ที่จะศึกษาต่อศาสตร์อิสลาม อันดับแรกถือเป็นการพัฒนาวิทยาลัยฯ นำไปสู่การเพิ่มพูนความสามารถของวิทยาลัย และสร้างสมรรถนะของนักวิชาการของวิทยาลัยในอนาคต อีกทั้งในแง่ของการสร้างความเชี่ยวชาญเฉพาะด้านเพิ่มขึ้น และเป็นการพัฒนาองค์ความรู้เรื่องศาสตร์อิสลามในเชิงสหวิทยาการ โดยจะนำศาสตร์อิสลามมาตีแผ่และให้เห็นถึงคุณค่าของศาสตร์อิสลาม ที่เคยยิ่งใหญ่มาในอดีต และจะพิสูจน์ให้เห็นว่า ศาสตร์อิสลามสามารถบูรณาการ นำไปสู่ภาคปฎิบัติเพื่อเกิดความศานติได้อย่างแท้จริง  ส่วนศูนย์อิหร่านศึกษา ภาษาเปอร์เซีย เป็นส่วนหนึ่งของศูนย์อิสลามศึกษา เพื่อเป็นการเปิดมุมมองใหม่ต่อผู้สนใจอารยธรรมเปอร์เซีย และวิทยาการที่เป็นแหล่งกำเนิดองค์ความรู้ หรือศึกษานักคิดมุสลิมที่เป็นชาวเปอร์เซีย อีกทั้งให้บริการทางด้านภาษาเปอร์เซีย ซึ่งเป็นอีกภาษาหนึ่งที่มีความน่าสนใจมากเลยทีเดียว

ขอบข่ายของศูนย์อิสลามและอิหร่านศึกษา ภาษาเปอร์เซีย

ศูนย์อิสลามศึกษาจะ มุ่งมั่นที่จะทำและให้เกิดเป็นรูปธรรม 3 ด้าน คือ 1.ด้านเปิดหลักสูตรอิสลามศึกษาเพื่อการพัฒนา  มีจุดมุ่งหมายในการจะสร้างและพัฒนาหลักสูตรอิสลามศึกษาเพื่อการพัฒนาให้มี ประสิทธิผลทั้งทางด้านจิตภาพ กล่าวคือให้ผู้เรียนสามารถเกิดการพัฒนาและเปลี่ยนแปลงทางด้านจิตใจและจิต วิญญาณแบบอิสลาม และพัฒนาทางด้านเศรษฐกิจและสังคม โดยมุ่งเน้นไปที่การเสริมสร้างแนวคิดและแนวทางในการบูรณาการเชิงสหวิทยาการ ที่จะเป็นประโยชน์ในการเรียนรู้ในระดับบัณฑิตศึกษาจบไปแล้วสามารถประกอบ อาชีพได้

ด้านที่ 2 ด้านวิจัย  มุ่งเน้นไปที่ประเด็นปัญหาการวิจัยด้านอิสลามและวิถีชีวิตกับการศึกษาศาสตร์ อิสลาม ที่จะเป็นประโยชน์ต่อการเผยแพร่และสนับสนุนการเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิต ของชนมุสลิม

“และ ด้านที่3  ด้านศาสนสัมพันธ์ และนิกายสัมพันธ์ เพื่อสร้างความเข้าใจอันดีต่อกัน และเรียนรู้ในการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ โดยยึดหลัก “ความเป็นเอกภาพในความหลากหลาย” โดยการจัดประชุม สานสนทนาระหว่างศาสนิกชน (Interfaith Dialogue) และสานสนทนาระหว่างนิกายต่างๆแบบสันติวิธี เพื่อการแสวงหาข้อยุติที่จะนำไปสู่การอยู่ร่วมกัน ด้วยความสามัคคีปรองดอง” ดร.ประเสริฐ กล่าว