อิมามโคมัยนีที่เรายังไม่รู้จัก

เนื่องในโอกาสครบรอบการอสัญกรรมอิมามโคมัยนี

ส่วนใหญ่ของคนที่สนใจเรื่องการเมืองต่างประเทศ หรือประเด็นการเคลื่อนไหวในโลกอิสลาม ย่อมรู้จักนามของท่านอิมามโคมัยนีเป็นอย่างดี ในปี คศ.1979 ชัยชนะของการปฏิวัติอิสลามในอิหร่าน ทำให้ผู้คนทั่วโลกหันมารู้จักท่านอิมามโคมัยนี ท่านเป็นผู้นำในการล้มล้างกษัตริย์ชาห์ปาลาวี แล้วได้สถาปนารัฐอิสลามขึ้นในประเทศอิหร่าน ซึ่งตามทฤษฎีของนักรัฐศาสตร์และนักสังคมวิทยาร่วมสมัย การจะนำเอาศาสนากลับมามีอิทธิพลในการปกครองประเทศ เป็นไปได้ยากหรืออาจจะเป็นไปไม่ได้ด้วยซ้ำ เพราะหลังจากยุคสมัยใหม่ (Modern history) ศาสนาถือเป็นแผ่นเสียงตกร่อง หมดอายุการใช้งานแล้ว และโดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังยุคนวนิยม (Postmodenism) แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่ท่านอิมามได้ฉีกทัศนคติเหล่านั้นทิ้ง โดยใช้หลักการทางศาสนาเป็นธรรมนูญในการปกครองประเทศอย่างเป็นรูปธรรม

ในการปฏิวัติหรือปฏิรูปการปกครอง โดยทั่วไปแล้ว จะมีผู้คิดค้นทฤษฎี รูปแบบและวิธีการปกครองคนหนึ่ง แล้วจะมีกลุ่มปัญญาชนที่หลงใหลนำไปต่อยอด พร้อมกับการปูพื้นฐานไปสู่การปฏิวัติ โดยเฟ้นหาผู้นำเพื่อนำไปสู่การปกครอง ซึ่งในช่วงต้นของศตวรรษที่ยี่สิบหลังสงครามโลกครั้งที่สอง (ประมาณปีคศ.1945) จะเห็นการเปลี่ยนแปลงการปกครองในหลายๆประเทศด้วยกันเช่น ในรัสเซีย ในกลุ่มประเทศยุโรปตะวันออก ลาตินอเมริกาและจีน

แต่การปฏิวัติอิสลามในอิหร่านแตกต่างจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองร่วมสมัยอย่างสิ้นเชิง เพราะผู้นำเสนอทฤษฎีนั้น คือคนๆ เดียวกันกับผู้นำที่เรียกร้องการต่อสู้ ในขณะที่ท่านถูกเนรเทศอยู่นอกประเทศตัวเอง ท่านได้สร้างแนวร่วมให้เข้าใจถึงเป้าหมายและอุดมการณ์การต่อสู้ของท่านก่อนการปฏิวัตินับสิบกว่าปี หนังสือการปกครองอิสลามของท่านถูกตีพิมพ์คร้งแรกในปี คศ.1970 ก่อนการปฏิวัติเกือบสิบปี (ต้องพิจารณาด้วยว่าท่านต่อสู้อยู่นอกประเทศ ในยุคที่การสื่อสารไม่เหมือนปัจจุบัน และท่านไม่ได้รับการสนับสนุนจากประเทศมหาอำนาจใดๆ แต่ในทางกลับกัน อิหร่านในสมัยชาห์เป็นพันธมิตรที่แน่นแฟ้นที่สุดกับสหรัฐอเมริกา) การต่อสู้ของท่านบรรลุความสำเร็จในปี คศ.1979 ท่านได้เดินทางกลับประเทศ และได้รับการสนับสนุนจากประชาชนให้อยู่ในฐานะผู้นำและมีประชาชนถึง 98% ลงประชามติโหวตสนับสนุนให้ปกครองระบอบสาธารณรัฐอิสลาม

หลังจากนั้นท่านอยู่ในฐานะประมุขของประเทศ ปกครองประเทศอยู่อีกสิบปี โดยนำทฤษฎีที่ท่านได้เขียนไว้มาสู่การปฏิบัติ เป็นทฤษฎีการปกครองอิสลามที่มีรากฐานมาจากอัลกุรอาน ซุนนะฮ์ของท่านศาสดาและบรรดาอิมาม จะกล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือ ท่านเป็นผู้เขียนทฤษฎีหลักการปกครองอิสลามแบบวิลายะตุ้ลฟะกีห์ (อุลามาอ์ที่อยู่ในฐานะราชาปราชญ์ โดยเป็นตัวแทนท่านศาสดาและอิมามในการปกครอง) เป็นผู้ที่นำเสนออีกทั้งเป็นผู้อธิบายและสร้างสานุศิษย์ให้ตกผลึกทางความคิดเพื่อเป็นกำลังหลักในการปฏิวัติ ตลอดจนเผยแผ่แนวคิดของท่าน พร้อมกันนั้นท่านได้เป็นผู้นำในการต่อสู้จนได้รับชัยชนะ ต่อจากนั้นเป็นผู้ปกครองประเทศเอง โดยนำแนวคิดที่ได้เขียนอธิบายไว้มาใช้ในการวางรากฐานระบอบการปกครอง ซึ่งทั้งหมดนี้ถ้าพิจารณาดูอย่างถี่ถ้วนแล้ว มีเพียงบรรดาศาสนทูตเท่านั้นที่บูรณาการเช่นนี้ได้อย่างครบถ้วน ซึ่งท่านอิมามโคมัยนีก็ได้บูรณาการอย่างครบถ้วนเช่นกัน แน่นอนที่สุดที่ท่านย่อมได้เรียนรู้มาจากบรรดาอัมบิยาอ์และบรรดาอิมามแห่งอะฮ์ลุลบัยต์ทั้งสิ้น

ประเด็นสำคัญที่อยากจะกล่าวถึงก็คือ ท่านอิมามโคมัยนี มักถูกรู้จักในนามของนักปฏิวัติ นักต่อสู้และผู้ปกครองรัฐอิสลาม คือถูกฉายภาพออกไปทางมุมมองของการเมืองการปกครองเท่านั้น แต่แง่มุมอื่นๆ ของท่านยังถูกรู้จักน้อยหรือบางทียังไม่ถูกรู้จักด้วยซ้ำไป ท่านอิมามเป็นนักวิชาการอิสลามร่วมสมัยที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของโลก มีความเชี่ยวชาญในหลายๆศาสตร์ ในด้านนิติศาสตร์อิสลาม ท่านเป็นถึงหนึ่งในฟะกีฮ์ (ระดับขั้นวินิจฉัยกฏหมายอิสลาม) นับเป็นมัรญิอ์ของมุสลิมนิกายชีอะฮ์ โดยส่วนใหญ่ผู้คนไม่รู้ด้วยซ้ำว่าท่านเป็นนักอรรถธิบายอัลกุรอาน ท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านอภิปรัชญา (Metaphysic) ซึ่งบรรดานักปราชญ์ในสมัยของท่าน น้อยคนนักที่จะศึกษาด้านนี้ แต่ท่านอิมามกลับเป็นผู้ที่เชี่ยวชาญ ,ท่านเป็นนักกวี ,ท่านเป็นศิลปินอักษรอาหรับวิจิตร ยิ่งไปกว่านั้นท่านเป็นนักวิชาการระดับสูงในวิชาจริยศาสตร์อิสลาม และเป็นหนึ่งในผู้ประจักษ์ด้านอิรฟาน- รหัสยนิยม (Mysticism) ไม่ว่าจะภาคทฤษฎีหรือภาคปฏิบัติ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้ไม่ใช่กล่าวด้วยกับการยกย่องแบบยกเมฆ หรือนั่งเทียนเขียน เพราะสามารถยืนยันด้วยกับตำราที่ท่านได้ละทิ้งไว้เป็นมรดกสำหรับประชาชาติอิสลาม ซึ่งหากใครก็ตามที่ได้ศึกษาทัศนคติ และการอธิบายในตำราเหล่านี้ย่อมจะหลงใหลในความลุ่มลึกของท่านอย่างแน่นอน ซึ่งเราจะไม่แปลกใจเลยที่ท่านมีความสงบมั่นอย่างยิ่งในฐานะประมุขของประเทศเมื่อประสบกับปัญหาหนักหนาสาหัสที่ถาโถมเข้ามาสำหรับรัฐใหม่ที่พึ่งก่อตั้ง โดยมีจุดยืนที่”ไม่เอาตะวันออก ไม่เอาตะวันตก ยึดมั่นในอิสลาม” ซึ่งแนวคิดดังกล่าวนี้ถือว่าท้าท้ายต่อระบบโลกเป็นอย่างมาก เพราะในช่วงขณะนั้น ประเทศต่างๆต้องเลือกข้าง ไม่ยืนอยู่กับสหรัฐอเมริกา ก็ต้องยืนอยู่กับสหภาพโซเวียต(หมายถึงไม่เลือกทุนนิยมก็ต้องเลือกสังคมนิยม ซึ่งมีสหรัฐกับโซเวียตเป็นพี่ใหญ่และมหาอำนาจ) นอกจากนั้นมีการลอบสังหารบุคคลสำคัญที่เป็นกำลังหลักที่สำคัญของท่าน ส่วนที่หนักที่สุดก็คือการรุกรานของประเทศเพื่อนบ้านโดยการนำของซัดดามฮุเซนและมีการสนับสนุนจากหลายประเทศอยู่เบื้องหลัง จนกลายเป็นสงครามยืดเยื้ออยู่ถึงแปดปี แต่ทั้งหมดนี้ไม่ได้สร้างความสั่นสะท้านใดให้กับท่านอิมามแม้แต่น้อย เพราะท่านเป็นปราชญ์ที่ศรัทธามั่นและดื่มด่ำอยู่กับพระเจ้า ท่านเป็นกำลังใจที่สำคัญสำหรับประชาชน ความรู้ความศรัทธาต่อการปกป้องศาสนาเป็นสิ่งที่ประชาชนได้ซึมซับจากท่าน นอกจากนี้ยังได้ฟื้นฟูหลักคำสอนและวัฒนธรรมของอิสลาม และไม่เกินเลยไปด้วยซ้ำที่จะกล่าวว่า ท่านเป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในฐานะผู้ฟื้นฟูศาสนาอิสลามในช่วงปลายศตวรรษที่ยี่สิบ

สรุปก็คือ แม้ท่านได้จากเราไปกว่าสามสิบกว่าปีแล้ว แต่หลายต่อหลายแง่มุมของท่านยังไม่ถูกรู้จัก มนุษย์บางคนยิ่งใหญ่เกินกว่ายุคสมัยของตัวเองและคงต้องใช้เวลาอีกนานในการทำความรู้จัก ซึ่งอิมามโคมัยนีก็เป็นหนึ่งในบุคคลเช่นนี้อย่างแน่นอน…