ความพยายามอีกรอบของภาคประชาชนมุสลิม ในการแก้พระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ชงร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่ให้สนช.พิจารณา
ที่ผ่านมา มีความพยายามหลายครั้งแล้วในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 โดยหลายฝ่ายต่างก็นำเสนอร่างแก้ไขเพิ่มเติมมาหลายฉบับแล้ว
กระทั่งล่าสุด เมื่อวันที่ 20 มกราคม 2558 ที่มูลนิธิเพื่อศูนย์กลางอิสลามแห่งประเทศไทย ย่านรามคำแหง กรุงเทพฯ ได้มีการจัดเวที สนช.พบประชาชนมุสลิม โดยมีนายพีระศักดิ์ พอจิต รองประธานสภานิติบัญญัติแห่งชาติและคณะ ได้เดินทางมาพบปะกับประชาชนมุสลิม
ซึ่งในโอกาสนี้ ภาคประชาชนมุสลิมกลุ่มหนึ่งนำโดยสภาองค์การมุสลิมแห่งประเทศไทย ได้ยื่นร่างแก้ไขพรบ. ผ่านทางรองประธานสนช.เพื่อนำไปพิจารณา รวม 6 ฉบับ ได้แก่ ร่างพรบ.สตรีและครอบครัว ร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม ร่างพรบ.การบริหารกิจการฮาลาล ร่างพรบ.ฮัจย์ ร่างพรบ.การเมืองอิสลาม และร่างพรบ.การศึกษาแห่งชาติ
ทั้งนี้ไฮไลต์สำคัญของของงานครั้งนี้อยู่ที่ ร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ….. โดยคณะผู้ยกร่างได้ให้นายทวีศักดิ์ หมัดเนาะ เป็นผู้นำเสนอในที่ประชุม ซึ่งมีสาระสำคัญหลายประเด็นที่น่าสนใจ
ชี้ พรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 ล้าสมัย-ก่อความเสียหายต่อสังคมมุสลิม
นายทวีศักดิ์ หมัดเนาะ ตัวแทนคณะผู้ยกร่าง กล่าวในที่ประชุมว่า พรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 มีผลบังคับใช้มานานกว่า 16 ปีแล้ว แม้พรบ.ฉบับนี้จะก่อให้เกิดโครงสร้างการบริหารสังคมมุสลิมที่ชัดเจนกว่าในอดีต โดยจัดโครงสร้างตามระบบการบริหารราชการแผ่นดินของไทย แต่ก็สร้างความเสียหายต่อสังคมมุสลิมอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน
“สาเหตุสำคัญเพราะการได้มาซึ่งผู้นำและกรรมการในองค์กรมาจากการลงมติของเสียงส่วนใหญ่ ที่ไม่ถูกต้องตามหลักศาสนา เมื่อมาจากเสียงส่วนใหญ่ ผู็มีอิทธิพลก็เข้ามาและเป็นผู้กำหนดนดยบายขององค์กรศาสนาเพื่อประโยชน์ของพวกพ้อง” นายทวีศักดิ์ กล่าว
9 ประเด็นหลัก ข้อเสีย พรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540
คณะผู้จัดทำร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่ได้สรุปข้อเสียของพรบ.ฉบับปี 2540 ไว้ 9 ข้อ ดังนี้
1. การได้มาซึ่งผู้นำและกรรมการในองค์กรมาจากการลงมติเสียงส่วนใหญ่ ซึ่งปฏิเสธหลักการศาสนา ก่อให้เกิดความแตกแยกขนานใหญ่ในสังคมมุสลิมทุกระดับ
2.เกิดกระบวนการบิดเบือนข้อมูลประชากรสัปบุรุษ เพื่อให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งได้เปรียบในการลงคะแนนเสียง และมีการโยกย้ายสัปบุรุษเพื่อขอจัดตั้งมัสยิดอย่างมีวาระแอบแฝง
3.มีช่องโหว่ให้ตีความเข้าข้างตัวเองเพื่อผลประโยชน์ของตนเองและพวกพ้อง
4.เปิดช่องให้ผู็มีอิทธิพลและร่ำรวยเข้าสู่ตำแหน่งโดยง่าย
5.มีการใช้ตำแหน่งและอำนาจหน้าที่เพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้ตัวเองและพวกพ้อง
6. เกิดปัญหาการไม่เชื่อฟังและความขัดแย้งในองค์กร
7.ผู้นำและกรรมการในองค์กรอิสลามบางคน มีคุณสมบัติและพฤติกรรมไม่เหมาะสม
8.ไม่มีบทบัญญัติเรื่องอำนาจหน้าที่ของกรรมการที่ชัดเจน
9. ไม่มีบทกำหนดลงโทษผู้กระทำผิด
สาระสำคัญของ ร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่
เรื่องใหม่ที่คณะผู้ยกร่างนำเสนอผ่านร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลามฉบับใหม่ โดยสรุปได้แก่
1.ใช่หลักการปรึกษาหารือหรือ “มูชาวาเราะห์” แทนการมติด้วยเสียงส่วนใหญ่ ในการสรรหาผู้ดำรงตำแหน่งทุกระดับ
2. บัญญัติให้มีการ “บัยอะห์” หรือการให้สัตยาบัน โดยการเปล่งวาจาต่อหน้าจุฬาราชมนตรี
3. จัดตั้ง “คณะมัจลิซชูรอ” หรือสภา ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญศาสนาอิสลาม 15 คน มีหน้าที่กำกับดูแลกิจกรรมศาสนาอิสลาม และคัดเลือกผู้มาดำรงตำแหน่งจุฬาราชมนตรี คณะกรรมการอิสลามแห่งประเทสไทย และคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัด
4. แบ่งแยกหน้าที่ด้านศาสนากับหน้าที่ด้านบริหาร
5. กำหนดคุณสมบัติด้านการศึกษาของจุฬาราชมนตรีและสภาชูรอ รวมทั้งต้องมีประสบการณ์ด้านศาสนาไม่น้อยกว่า 20 ปี
นอกจากนั้นยังมีรายละเอียดอื่นๆ อีกมากที่แตกต่างไปจากพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540
ที่ผ่านมาความพยายามในการเสนอแก้ไขเพิ่มเติมพระราชบัญญัติการบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ.2540 มีมาหลายครั้งหลายฉบับแต่ก็ยังไม่ประสบผลสำเร็จ นอกจากนั้นในแต่ละครั้งก็สร้างแรงกระเพื่อมและความขัดแย้งรหว่างมุสลิมที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วยต่อร่างพรบ.ฉบับนั้นๆ พอสมควร และสำหรับร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมฉบับนี้จะไปถึงฝั่งฝันหรือไม่ นับจากนี้จึงนับเป็นเรื่องที่น่าสนใจอย่างยิ่ง
*** อ่านเพิ่มเติม ร่างพรบ.การบริหารองค์กรศาสนาอิสลาม พ.ศ….. ฉบับเต็ม และข้อสรุปจากผู้ยกร่าง