สันติสุขจชต.ส่อเหลว! บีอาร์เอ็นลอบสังหารคีย์แมนคณะพูดคุยไทย เคืองถูกเบรคย้ายโต๊ะเจรจาไปยุโรป

ระเบิดที่ถูกลอบติดใต้ท้องรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่ ของ "นายสายูตี หะยีตาเห"

เปิดเบื้องลึกเหตุ “ลอบนำระเบิดผูกติดใต้ท้องรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่” ผู้ก่อความไม่สงบงัดวิธีการที่ห่างหายไปนาน หวังลอบฆ่าคีย์แมนในคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย “อุซตาสสายูตี หะยีตาเห” – “อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” ตกเป็นเป้าหมาย เคืองถูกเบรคหัวทิ่ม “ย้ายโต๊ะเจรจาไปยุโรป”

วันอาทิตย์ 12 มี.ค.66 เจ้าหน้าที่พร้อมหน่วยเก็บกู้และทำลายวัตถุระเบิดได้เข้าตรวจสอบและดำเนินการปลดระเบิดซึ่งติดอยู่ใต้ท้องรถยนต์ มิตซูบิชิ รุ่นปาเจโร่ สีขาว ในโรงจอดรถ ภายในบ้านเลขที่ 1/1 ม.3 ต.ถนน อ.มายอ จ.ปัตตานี

รถยนต์และบ้านหลังดังกล่าวเป็นของ “นายสายูตี หะยีตาเห” อุซตาสหรือครูสอนศาสนาของโรงเรียนปอเนาะพ่อมิ่ง อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี เขาเป็นหนึ่งในคณะพูดคุยสันติสุข อีกทั้งยังเป็นผู้ที่ร่วมก่อตั้ง “มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร” หน่วยกู้ชีพกู้ภัยเอกชนในพื้นที่จชต.

น.ส.อีนาซ หะยีตาเห ลูกสาวของนายสายูตี บอกเจ้าหน้าที่ว่า ก่อนหน้านั้นหนึ่งวัน (11 มี.ค.) ตนพร้อมเพื่อนผู้หญิง 2 คน ได้ขับรถยนต์คันดังกล่าว เดินทางไปปูยุด อ.เมือง จ.ปัตตานี โดยใช้เส้นทางสายมายอ-ยะรัง เพื่อเดินทางไปรับเพื่อนผู้หญิงอีก 1 คน จอดรถไม่ได้ดับเครื่องยนต์ จากนั้นในเวลาประมาณ 11.00 น. หลังจากรับเพื่อนเสร็จได้เดินทางไป จ.ยะลา โดยใช้เส้นทางยะรัง-ยะลา แวะจอดกินชาบูที่ร้านมากินิกุ กินเสร็จเวลาประมาณ 13.30 น. ได้เดินทางไปซื้อของที่ตลาดเมืองใหม่ยะลา เวลาประมาณ 14.00 น. โดยไม่ได้ดับเครื่องยนต์ มีเพื่อนลงไปซื้อของ 2 คน และเดินทางกลับบ้านโดยใช้เส้นทางยะลา-มายอ แวะเติมน้ำมันที่ปั๊ม ปตท.เขาตูม และแวะลงละหมาดในอาคารละหมาดของปั๊ม 3 คน อยู่ในรถ 1 คน ใช้เวลาละหมาดประมาณ 20 นาที และเดินทางกลับบ้าน โดยใช้เส้นทางยะลา-มายอ ถึงบ้านเวลาประมาณ 15.30 น. และจอดรถไว้ในโรงจอดรถหน้าบ้าน

หลังจากนั้นเวลาประมาณ 20.30 น. หลานได้ออกหาแมวภายในบ้าน โดยใช้ไฟฉายส่องดูใต้ท้องรถมิตซูบิชิปาเจโร่ พบสายไฟห้อยอยู่ใต้ท้องรถ จึงส่องไฟฉายดูใต้ท้องรถเพิ่มเติม จนพบถังแก๊สผูกติดอยู่ใต้ท้องรถด้วย จึงรีบแจ้งไปยังเจ้าหน้าที่

วิธีก่อเหตุที่หายไปนาน

การ “นำระเบิดผูกติดใต้ท้องรถ” เพื่อก่อเหตุนั้นเป็นวิธีการที่ได้ “ห่างหายไปนาน” จากจังหวัดชายแดนภาคใต้ตามคำยืนยันของ “พลโทศานติ ศกุนตนาค” แม่ทัพภาคที่ 4

และผลจากการแขวนระเบิดใต้ท้องรถปาเจโร่ได้กระตุกฝ่ายความมั่นคงในจชต.ให้ตื่นตัวและออกคำเตือนประชาชนให้ระวัง โดยเฉพาะในห้วง “เดือนรอมฎอน” เทศกาลถือศีลอดของชาวมุสลิม

“ตอนนี้ใกล้เดือนรอมฎอน อาจจะมีการก่อเหตุในลักษณะที่เราคาดไม่ถึง อาจจะใช้ยานพาหนะของประชาชนทั่วๆไป อาจะใช้ยานพาหนะของคนอื่นๆ ที่เข้ามา อาจเข้าไปในพื้นที่ของราชการ ในพื้นที่ของชุมชนต่างๆ จึงอยากให้ประชาชนเฝ้าดูนิดหนึ่ง”

“เพราะการที่จะแขวนระเบิดใต้ท้องรถหายไปนานนะครับ หายไปนานมาก ซึ่งในอดีตเคยมี แล้วก็ใช้เวลาในการแขวนพอสมควร อยู่ๆไม่ใช่แขวนแป๊บเดียวได้เลย” แม่ทัพภาคที่ 4 กล่าวในการให้สัมภาษณ์กับพีพีทีวี

เป้าหมาย

หากพิจารณาในแง่การลงมือของผู้ก่อความไม่สงบที่ใช้วิธีซึ่งห่างหายไปนานตามที่แม่ทัพภาคที่ 4 ระบุ ดังนั้นจึงอนุมานได้ว่าเป้าหมายการลอบสังหารของพวกเขาย่อมไม่ใช่ปลาซิวปลาสร้อย แต่เป็น “บุคคลสำคัญ” ซึ่งหากบรรลุผลก็จะเกิดสถานการณ์สั่นสะเทือน ผู้ก่อความไม่สงบจึงงัดไม้ตาย อันเป็นวิธีที่ยุ่งยาก ใช้เวลาติดตั้งนาน เสี่ยงถูกจับกุมได้ง่าย

มองมุมนี้ “น.ส.อีนาซ หะยีตาเห” จึงไม่ใช่เป้าหมาย แต่น่าจะมุ่งไปที่ “นายสายูตี หะยีตาเห” ผู้เป็นพ่อ ซึ่งมีสถานะเป็นอุสต๊าซ และทำงานร่วมกับรัฐในคณะพูดคุยสันติสุข

ซึ่งสอดคล้องกับข้อมูลเชิงลึกของเดอะพับลิกโพสต์ที่ระบุว่า ปกติอุสต๊าซสายูตีจะเป็นคนใช้รถยนต์มิตซูบิชิ ปาเจโร่คันดังกล่าวเป็นประจำ

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าววงในของเดอะพับลิกโพสต์ได้เปิดเผยข้อมูลที่น่าตระหนกไปกว่านั้นว่า แม้อุสต๊าซสายูตีอาจจะเป็นหนึ่งในคนที่ถูกใบสั่งฆ่าจากฝ่ายขบวนการ แต่เป้าหมายหลักของพวกเขาน่าจะมุ่งไปที่บุคคลซึ่งมี “ความสำคัญกว่า!”

ผู้นั้นก็คือ “นายอิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” ประธานมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร และเป็นมือประสานคนสำคัญในคณะพูดคุยสันติสุขของฝ่ายไทย!!

แหล่งข่าวระบุว่า มีการพบระเบิดติดใต้ท้องรถช่วงเวลาประมาณสองทุ่มครึ่งของวันที่ 11 มี.ค.ก็จริง แต่หากไล่ดูไทม์ไลน์การใช้รถของ “น.ส.อีนาซ” บุตรสาวของอุสต๊าซสายูตี ที่นำรถไปใช้ในทั้งวันนั้นไม่พบโอกาสที่ฝ่ายผู้ก่อความไม่สงบจะสามารถนำระเบิดมาติดตั้งใต้ท้องรถได้เลย

อีกข้อมูลวงในล่าสุดจากการสืบสวนพบว่า ระเบิดน่าจะถูกติดตั้งมาตั้งแต่วันที่ 6 มี.ค. แล้ว ซึ่งวันนั้นเป็นวันที่รถถูกนำไปใช้และจอดอยู่นานในบริเวณห่างไกลผู้คนที่โรงเรียนปอเนาะพ่อมิ่ง

แหล่งข่าวเปิดเผยข้อมูลเชิงลึกอีกว่า เมื่อมีการนัดประชุมงาน อุสต๊าซสายูตีมักจะเป็นคนไปรับนายอิสกันดาร์โดยใช้รถปาเจโร่คันดังกล่าวเป็นประจำ ซึ่งในวันที่ 11 มี.ค. นั้นอุสต๊าซสายูตีก็เตรียมที่จะนำรถปาเจโร่คันดังกล่าวไปรับนายอิสกันดาร์ ที่สำนักงานใหญ่มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร

แต่เดชะบุญที่วันนั้น อุสต๊าซสายูตีให้ลูกสาวใช้รถรถปาเจโร่คันดังกล่าว และเขาใช้รถคันอื่นไปรับนายอิสกันดาร์!

“คาดว่าแผนของฝ่ายขบวนการต้องการให้อุสต๊าซสายูตีใช้รถรถปาเจโร่ที่ถูกติดระเบิดไว้ใต้ท้องไปรับนายอิสกันดาร์ ที่สำนักงานใหญ่มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร และจุดระเบิดหลังสองคนขึ้นรถที่หน้าสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิ” แหล่งข่าวระบุและว่า

หากเป็นไปตามแผน การสังหาร 2 บุคคลในคณะพูดคุยเพื่อสันติสุข โดยเฉพาะนายอิสกันดาร์ที่เป็นมือประสานของฝ่ายไทย และ “คาร์บอมบ์” ที่เกิดขึ้นหน้าสำนักงานใหญ่ของมูลนิธิซึ่งตั้งอยู่ใจกลางเมืองปัตตานี อยู่ใกล้โรงแรมซีเอส บริเวณที่ถูกถือเป็นเซฟตี้โซน จะเป็น “การก่อความรุนแรงในเชิงคุณภาพ” ที่ทำให้สถานการณ์จชต.เข้าสู่องศาเดือดและอยู่ในสปอตไลท์อีกครั้ง

รู้จัก “อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์”

“อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” ปัจจุบันเป็นประธาน “มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร” หน่วยกู้ชีพกู้ภัยภาคเอกชนที่มีภารกิจคอยช่วยเหลือชาวบ้านในพื้นที่จชต. ที่เผชิญกับเหตุการณ์รุนแรงรายวัน

มูลนิธิฯ ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2549 จากสถานการณ์ความไม่สงบ ปัจจุบันมีศูนย์สาขากระจายอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนใต้ ทั้ง 5 ปัตตานี ยะลา นราธิวาส สงขลา และสตูล

อิสกันดาร์เป็นคนทำตัวโลว์โปรไฟล์ ไม่ชอบให้สัมภาษณ์ หลีกเลี่ยงการเป็นจุดสนใจ ข้อมูลของเขาในโลกออนไลน์จึงมีไม่มากนัก

ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (Deep South Watch) ระบุว่า ในอดีตเขาคือ ประธาน “กลุ่มนักศึกษาชายแดนภาคใต้ มหาวิทยาลัยรามคำแหง” หรือ “PNYS” ในช่วงปี 2527

ต่อมาผันตัวมาเป็นผู้ทำงานภาคประชาสังคมที่มุ่งเน้นไปยังโครงการเยียวยาชุมชน ต่างๆ และขับเคลื่อนกระบวนการสร้างพลังความเป็นกลางผ่านองค์กรอาสาสมัคร

“บทบาทการทำงานในองค์กรป้องกันสาธารณภัย ทำให้เขาสามารถเข้าไปใน “พื้นที่สีแดงบางแห่ง” ประกอบกับสถานะ “อดีตสมาชิกกลุ่ม PNYS” จึงเลี่ยงไม่พ้นที่จะถูกมองเป็น “คนใน” ของแนวร่วมขบวนการก่อความไม่สงบ เมื่อบวกรวมกับการทำงานร่วมกับเจ้าหน้าที่รัฐเป็นเวลานาน ทำให้มุมมองของ “อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” สามารถสะท้อนให้เห็นทั้งวิธีคิดของ “ขบวนการ” และ “ภาครัฐ” ที่คมชัดยิ่ง” ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้เคยกล่าวถึงอิสกันดาร์

ขณะที่ข้อมูลเชิงลึกของเดอะพับลิกโพสต์ ในอีกด้านหนึ่ง เขาเคยเป็นมือทำงาน “ฝ่ายบุ๋น” ให้ “พล.อ.อุดมชัย ธรรมสาโรรัชต์” ตั้งแต่สมัยยังเป็นรองแม่ทัพภาคที่ 4

เมื่อ พล.อ.อุดมชัย ขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 อิสกันดาร์ก็ยังคงทำงานจนแทบเรียกว่าได้เป็น มือขวาทางความคิด หรือมือประสานของแม่ทัพอุดมชัย

เขาและทีมเป็นคนเบื้องหลังของนโยบาย “สานใจสู่สันติ” ของ พล.อ.อุดมชัย หลังขึ้นเป็นแม่ทัพภาคที่ 4 หนึ่งในนโยบายที่โด่งดัง คือ “โครงการพาคนกลับบ้าน”

จนเมื่อ แม่ทัพอุดมชัยเกษียณราชการ แล้วไปดำรงตำแหน่งหนึ่งในผู้แทนพิเศษของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่เรียกกันว่า ครม.ส่วนหน้า รวมทั้งได้รับแต่งตั้งเป็นหัวหน้าคณะพูดคุยฯ และเป็นสมาชิกวุฒิสภา (ส.ว.) ในปัจจุบัน ก็มีอิสกันดาร์เป็นเงาข้างกายตลอด

นิยามเกี่ยวกับ อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์ ที่ชัดเจนที่สุดน่าจะเป็นของ Patani NOTES สื่อในพื้นที่ ซึ่งกล่าวถึงเขาว่า “เป็นคนที่เชื่อกันว่ามีการติดต่ออย่างกว้างขวางกับหลายฝ่ายในพื้นที่ และดูดซับข้อมูลองค์ความรู้ไว้หลายด้าน”

สัญญาณเตือน

“อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” กับ “อุสต๊าซสายูตี หะยีตาเห” มี 2 จุดร่วมที่เหมือนกัน คือทั้งสองคนทำงานขับเคลื่อนอยู่ใน “คณะพูดคุยสันติสุขจังหวัดชายแดนภาคใต้ของฝ่ายไทย อีกทั้งเชื่อมโยงกับมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร โดยคนหนึ่งเป็นประธาน อีกคนเป็นผู้ร่วมก่อตั้ง

ซึ่งก่อนหน้าจะพบเหตุ “ระเบิดผูกติดใต้ท้องรถมิตซูบิชิ ปาเจโร่” เพียงไม่กี่วัน ได้เกิดเหตุการณ์ “คนร้ายลอบเผารถมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร”

โดยเมื่อวันพุธ ที่ 8 มี.ค. 66 เมื่อเวลา 03.30 น. ได้มีคนร้ายไม่ทราบจำนวนลอบวางเพลิงรถยนต์กู้ภัยของมูลนิธิฮิลาลอะห์มัร จำนวน 2 คัน ซึ่งจอดอยู่หน้าศูนย์ปฏิบัติยะหริ่ง มูลนิธิฮิลาลอะห์มัร เลขที่ 96/1 หมู่ 1 บ้านบือเจาะ อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี ริมถนนทางหลวงสาย 42 ปัตตานี-นราธิวาส

หลังเจ้าหน้าที่ช่วยกันดับเพลิงพบว่า รถของมูลนิธิฯได้รับความเสียหายจำนวน 2 คัน และไฟลุกลามไปไหม้อุปกรณ์การแพทย์ที่อยู่ในรถได้รับความเสียหายทั้งหมด เบื้องต้นประเมินมูลค่าความเสียหายประมาณ 1 ล้านบาท

ทั้งสองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเวลาไล่เลี่ยกัน ทำให้เชื่อได้ว่าทั้งสองเหตุการณ์น่าจะเชื่อมโยงกัน

แหล่งข่าวตั้งข้อสังเกตว่า การเผารถกู้ภัยของมูลนิธิฯ ด้านหนึ่งอาจเพื่อส่งสัญญาณไปถึงผู้บริหาร หรืออาจเป็นไปได้ที่ก่อเหตุเพื่อสร้างสถานการณ์ชักจูงให้นายอิสกันดาร์เข้าพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะในช่วงหลังเขาเดินทางเข้าออกเป็นประจำ

ชนวนเหตุ

แหล่งข่าววงในเปิดเผยว่า ชนวนเหตุที่กลุ่มก่อความไม่สงบ หรือ บีอาร์เอ็น มุ่งเป้าลอบฆ่า “อิสกันดาร์ ธำรงทรัพย์” กับ “อุสต๊าซสายูตี หะยีตาเห” สืบเนื่องจากเหตุการณ์ก่อนการพูดคุยสันติสุขครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 21-22 กพ.ที่ผ่านมา

โดยก่อนการพูดคุยสันติสุขจะเกิดขึ้นฝ่ายบีอาร์เอ็นมีความพยายามที่จะเสนอให้มีการย้ายสถานที่พูดคุยไปยังบางประเทศในยุโรป และมีการกดดันมายังคณะพูดคุยสันติสุขฝ่ายไทย

ประเด็นการย้ายสถานที่พูดคุยจากมาเลเซียไปยังยุโรปถูกนำขึ้นมาวิเคราะห์และถูกสอบถามความเห็นไปยังฝ่ายต่างๆ ที่เกี่ยวข้อง

ซึ่งผู้ที่คัดค้านเสียงแข็งก็คือนายอิสกันดาร์และคณะ เขาได้วิเคราะห์และชี้ให้เห็นถึงผลเสียมากกว่าได้ของการย้ายโต๊ะเจรจาไปยุโรป และที่สุดผู้มีอำนาจในคณะพูดคุยเพื่อสันติสุขฝ่ายไทยก็ยึดเอาตามความเห็นของนายอิสกันดาร์และกลุ่มคณะทำงาน

หลังฝ่ายไทยปฏิเสธขอเสนอย้ายสถานที่พูดคุยไปยุโรปฝ่ายบีอาร์เอ็นก็เริ่มออกอาการงอแงที่จะล้มการพูดคุย แต่ด้วยการกดดันของ “พลเอก ตันศรี ดาโตะซรี ซุลกีฟลี ไซนัล อะบิดิน” ผู้อำนวยความสะดวกซึ่งเพิ่งได้รับการแต่งตั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา หลังจากเปลี่ยนรัฐบาลใหม่ภายใต้การนำของ ‘อันวาร์ อิบรอฮิม’ ที่สุดบีอาร์เอ็นก็ต้องกลับเข้าสู่เจรจา มิฉะนั้นพวกเขาก็อาศัยอยุ่ในมาเลเซียลำบาก นั่นจึงทำให้เกิดการพูดคุยสันติสุขครั้งล่าสุด เมื่อวันที่ 21-22 กพ.ที่ผ่านมา

แหล่งข่าวระบุว่า ในทีมเจรจาฝ่ายไทยระดับเทคนิคมีบางส่วนที่เห็นด้วยการย้ายโต๊ะ เพราะหมายถึงการได้เดินทางไปยุโรป ค่าตอบแทนเบี้ยเลี้ยงทีจะได้เพิ่มมากขึ้น และเจ้าหน้าที่เหล่านี้บางส่วนมีการประสานงานกับทางฝ่ายเทคนิคของบีอาร์เอ็น แหลงข่าวจึงคาดว่า ข้อมูลจึงหลุดไปยังฝ่ายบีอาร์เอ็นฝ่ายกลุ่มคนเหล่านี้ว่าใครเป็นหัวหอกในการคัดค้าน

นอกจากนั้น แหล่งข่าวที่เชื่อถือได้ระบุว่า ยังมีการทำงานเชิงลับของนายอิสกันดาร์อีกหลายหนที่ช่วยเสริมสร้างอำนาจการเจรจาต่อรองให้ฝ่ายไทยและทางบีอาร์เอ็นมองว่าเป็นการบ่อนทำลายอำนาจของฝ่ายตน เช่น การสามารถนำหัวหน้ากลุ่มมาราปาตานีข้ามมาฝั่งไทยเพื่อพูดคุยกับฝ่ายความมั่นคง เหตุการณ์ทำนองนี้จึงทำให้นายอิสกันดาร์ กลายเป็น “ผู้ทำลาย” หรือ “Spoiler” ในสายตาของบีอาร์เอ็น

นั่นจึงนำไปสู่การโยนไพ่สั่งตายออกมา!!

ทำไมต้องยุโรป

สำหรับบีอาร์เอ็นการนำโต๊ะเจรจาไปยุโรปมองทางไหนก็มีแต่ได้ ที่ผ่านมาพวกเขาก็พยายามดึงประชาคมนานาชาติเข้ามาร่วมสังเกตการณ์และสักขีพยาน ขณะที่ฝ่ายไทยก็ยืนยันว่าการพูดคุยกับผู้เห็นต่างเป็นเรื่องในประเทศ ไม่จำเป็นต้องยกระดับ

สิ่งที่รัฐไทยไม่มีทางยอมเด็ดขาด คือ เรื่อง “เอกราช” และการ “ปลดปล่อยปาตานี” หรือ “การปกครองตนเอง” ปลายทางภายใต้อุดมการณ์เดิมของบีอาร์เอ็น ก็จะมีโอกาสเพิ่มขึ้นหาก “โกอินเตอร์”

อย่างไรก็ตาม แหล่งข่าวเดอะพับลิกโพสต์บอกว่า ความต้องการบีอาร์เอ็นยังไม่น่ากังวลเท่ากับเงาทะมึนที่ชักใยอยู่เบื้องหลัง เพราะการเจรจาสันติสุขที่ดำเนินมานั้นยังอยู่ในการเจรจาว่าด้วยวิธีการและหลักการทั่วไปว่าด้วยกระบวนการพูดคุยเท่านั้น ยังไม่ได้เข้าสู่สาระสำคัญแต่อย่างใด

ซึ่งปรากฏว่าทั้งฝ่ายไทยและบีอารืเอ็นต่างก็มี “ฝรั่ง” ที่มาเป็นผู้วางแผนการจัดตั้งกลไก​ เพื่อมาขับเคลื่อนประเด็นสารัตถะของการพูดคุยด้วยกันทั้งนั้น

”เป็นที่รับรู้กันและยอมรับกันวงในอยู่แล้วว่าในบรรดาฝรั่งหัวทองหัวแดงจำนวนมากที่มาป้วนเปี้ยนอยู่ในแถบจังหวัดชายแดนภาคใต้ ไม่ว่าจะมารูปของเจ้าของทุน อาสาสมัครพัฒนา หรือรูปแบบใดๆ ในจำนวนนั้นมีไม่น้อยที่เชื่อมโยงกับหน่วยงานความมั่นคงหรือหน่วยข่าวกรองของต่างชาติ”

“ปฏิเสธไม่ได้ว่า สถานการณ์ชายแดนภาคใต้มีองค์กรระหว่างประเทศและมหาอำนาจเข้ามาแทรกซึมมาโดยตลอด” แหล่งข่าวระบุและเชื่อว่า พวกเขายังคงต้องการให้ชายแดนภาคใต้ยังคงเป็น “พื้นที่ขัดแย้งและเขตสู้รบต่อไป”