หน้าฝนไม่เพียงมาพร้อมกับความชุ่มฉ่ำ แต่ยังมาพร้อมกับโรคระบาดที่สร้างความกังวลใจให้พ่อแม่ นั่นคือ “ไข้เลือดออก” โรคระบาดคู่หน้าฝนที่มักแฝงตัวมากับยุงลายตัวเล็ก ๆ แต่อันตรายร้ายแรง บทความนี้จะพาไปทำความเข้าใจเกี่ยวกับวิธีรักษาไข้เลือดออกในเด็ก เพื่อให้พ่อแม่สามารถดูแลปกป้องลูกน้อยสุดที่รักได้อย่างทันท่วงที
มีวิธีรักษาไข้เลือดออกในเด็กอย่างไรบ้าง ?
ปัจจุบันยังไม่มียาต้านไวรัสสำหรับไข้เลือดออกโดยเฉพาะ การรักษาจึงเป็นการรักษาตามอาการและประคับประคอง เพื่อป้องกันภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง เช่น
- การลดไข้ : ใช้ยาพาราเซตามอลเท่านั้น ห้ามใช้ยาในกลุ่มแอสไพริน หรือไอบูโพรเฟน โดยเด็ดขาด เพราะอาจทำให้เกล็ดเลือดทำงานผิดปกติและเพิ่มความเสี่ยงต่อภาวะเลือดออกรุนแรงได้ ควบคู่ไปกับการเช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นเพื่อลดไข้
- การให้น้ำและเกลือแร่ : เป็นวิธีรักษาไข้เลือดออกในเด็กสำคัญมาก ! เนื่องจากเด็กมีไข้สูง อาจมีอาการเบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ทำให้เสี่ยงต่อภาวะขาดน้ำ พ่อแม่ควรให้ลูกดื่มน้ำสะอาด น้ำผลไม้ หรือน้ำเกลือแร่บ่อย ๆ หากเด็กดื่มไม่ได้ หรืออาเจียนมาก ควรนำส่งโรงพยาบาลเพื่อให้น้ำเกลือ
- การสังเกตอาการอย่างใกล้ชิด : โดยเฉพาะในช่วงไข้ลด (วันที่ 3-5) ซึ่งเป็นช่วงวิกฤตที่อาจเกิดภาวะช็อกได้ พ่อแม่ควรสังเกตอาการผิดปกติที่กล่าวมาข้างต้น หากมีอาการแย่ลง ควรรีบนำส่งโรงพยาบาลทันที
- การตรวจเลือด : แพทย์จะตรวจเลือดเพื่อดูความเข้มข้นของเลือด จำนวนเกล็ดเลือด และค่าอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง เพื่อประเมินความรุนแรงของโรคและวางแผนการรักษา
- การให้สารน้ำทางหลอดเลือด (ในกรณีที่จำเป็น) : หากเด็กมีภาวะขาดน้ำรุนแรง หรือมีแนวโน้มจะช็อก แพทย์จะพิจารณาให้สารน้ำทางหลอดเลือดดำอย่างใกล้ชิด
ข้อสำคัญ : หากสงสัยว่าลูกเป็นไข้เลือดออก ควรรีบพาไปพบแพทย์โดยเร็วที่สุด ไม่ควรซื้อยามาให้ลูกกินเอง เพราะการวินิจฉัยและรักษาที่ล่าช้า อาจนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้
วิธีป้องกันไข้เลือดออกในเด็กที่ดีที่สุด
การป้องกันไข้เลือดออกในเด็กที่ดีที่สุดคือ การป้องกันไม่ให้ถูกยุงกัด และกำจัดแหล่งเพาะพันธุ์ยุงลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออก ซึ่งเป็นอีกหนึ่งทางเลือกสำคัญในการป้องกันโรค
วัคซีนแบบที่ 1 : เหมาะสำหรับเด็กอายุตั้งแต่ 4 ปีขึ้นไป ไม่จำเป็นต้องเคยติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน ฉีด 2 เข็ม ห่างกัน 3 เดือน ซึ่งเป็นข้อดีที่สำคัญ ทำให้เด็กที่ไม่เคยมีประวัติป่วยไข้เลือดออกก็สามารถฉีดเพื่อป้องกันได้
วัคซีนแบบที่ 2 : เหมาะสำหรับเด็กอายุ 6 ปีขึ้นไป ที่เคยได้รับการวินิจฉัยว่าติดเชื้อไข้เลือดออกมาก่อน โดยจะต้องมีการตรวจยืนยันก่อนฉีดว่าเคยป่วยจริงหรือไม่ หากฉีดในผู้ที่ไม่เคยติดเชื้อมาก่อน อาจเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดอาการรุนแรงในอนาคตได้ โดยฉีด 3 เข็ม ห่างกัน 6 เดือน
ทั้งนี้ พ่อแม่ควรพาลูกไปปรึกษาแพทย์เพื่อประเมินความเหมาะสมในการฉีดวัคซีน ชนิดของวัคซีนที่ควรใช้ และตารางการฉีดที่ถูกต้อง เพราะแต่ละวัคซีนมีข้อจำกัดและเงื่อนไขที่แตกต่างกัน
การดูแลลูกน้อยให้ปลอดภัยจากไข้เลือดออกเป็นหน้าที่ของพ่อแม่ทุกคน ดังนั้น การมีความรู้ความเข้าใจในโรค รู้วิธีรักษาไข้เลือดออกในเด็ก และการป้องกันอย่างสม่ำเสมอ และจะช่วยให้ลูกของเราเติบโตได้อย่างแข็งแรง ปลอดภัยจากโรคระบาดหน้าฝนนี้