การฉีดวัคซีนเป็นหนึ่งในแนวทางที่สำคัญที่สุดในการปกป้องสุขภาพของเด็กจากโรคติดต่อที่อันตรายถึงชีวิต หลายครอบครัวในยุคปัจจุบันให้ความใส่ใจอย่างมากต่อการวางแผนฉีดวัคซีน โดยเฉพาะในบ้านที่มีพ่อแม่เป็นชาวต่างชาติ หรือกำลังวางแผนย้ายถิ่นฐาน คำถามที่พบได้บ่อยคือ “แพคเกจวัคซีนเด็กในประเทศไทย กับสหรัฐอเมริกา มีความเหมือนหรือต่างกันอย่างไร ?” บทความนี้จะช่วยไขข้อสงสัย
ตารางวัคซีนพื้นฐาน: จุดร่วมที่สำคัญของไทยและสหรัฐฯ
ทั้งประเทศไทยและสหรัฐอเมริกาต่างมี “แผนการสร้างเสริมภูมิคุ้มกันโรคแห่งชาติ” (National Immunization Program) ซึ่งได้รับการปรับปรุงเป็นระยะ โดยมีเป้าหมายร่วมกันคือการป้องกันโรคร้ายแรงในเด็ก เช่น วัณโรค บาดทะยัก หัด คางทูม หัดเยอรมัน โปลิโอ และไวรัสตับอักเสบบี
แพคเกจวัคซีนเด็กที่จัดอยู่ในกลุ่ม “พื้นฐาน” หรือ “บังคับ” มักจะมีความคล้ายคลึงกัน เช่น
- วัคซีน BCG (วัณโรค)
- วัคซีน DTP (คอตีบ ไอกรน บาดทะยัก)
- วัคซีน IPV/OPV (โปลิโอ)
- วัคซีน MMR (หัด คางทูม หัดเยอรมัน)
- วัคซีน Hepatitis B (ไวรัสตับอักเสบบี)
- วัคซีน Hib (ฮิโมนิฟลูเอนซาไทป์บี)
- วัคซีนป้องกันโรคปอดอักเสบจากเชื้อนิวโมคอคคัส (PCV)
ในภาพรวม เราจะเห็นว่าทั้งสองประเทศให้ความสำคัญกับการป้องกันโรคกลุ่มเดียวกัน ซึ่งเป็นโรคที่เคยคร่าชีวิตเด็กทั่วโลกในอดีต และยังอาจกลับมาระบาดได้หากระดับภูมิคุ้มกันในประชากรลดลง
จุดต่างสำคัญ: รายละเอียดของวัคซีนและระยะเวลาการฉีด
แม้เป้าหมายของการสร้างภูมิคุ้มกันจะเหมือนกัน แต่มีจุดแตกต่างบางประการที่ผู้ปกครองควรทราบ:
- BCG (วัณโรค)
- ประเทศไทย ยังคงฉีด BCG ให้ทารกแรกเกิดทุกคน เพราะวัณโรคยังพบได้ในระดับหนึ่ง
- สหรัฐฯ ไม่ได้ฉีดวัคซีนนี้เป็นกิจวัตร ยกเว้นในกลุ่มเสี่ยงสูง เพราะอัตราวัณโรคในประเทศต่ำ
- วัคซีนไวรัสตับอักเสบ A (Hepatitis A)
- สหรัฐฯ จัดเป็นวัคซีนพื้นฐาน ฉีดในเด็กอายุ 1-2 ปี
- ประเทศไทย จัดเป็นวัคซีนทางเลือก แนะนำเฉพาะในกลุ่มที่เสี่ยงหรือมีกำลังทรัพย์
- วัคซีนไข้หวัดใหญ่ (Influenza Vaccine)
- สหรัฐฯ แนะนำให้เด็กอายุ 6 เดือนขึ้นไปฉีดทุกปี
- ประเทศไทย ยังไม่รวมอยู่ในแผนวัคซีนพื้นฐาน แต่อยู่ในวัคซีนทางเลือก ซึ่งแนะนำโดยเฉพาะในกลุ่มโรคประจำตัว
- วัคซีนโรต้า (Rotavirus)
- เดิมทีเป็นวัคซีนทางเลือกในไทย แต่ ในปี 2563 ได้บรรจุเข้าวัคซีนพื้นฐานแล้ว เช่นเดียวกับสหรัฐฯ
- วัคซีน HPV (ป้องกันมะเร็งปากมดลูก)
- ทั้งสองประเทศ เริ่มฉีดในเด็กหญิงอายุประมาณ 9–14 ปี
- แต่ไทย ฉีดเฉพาะนักเรียนหญิงในโรงเรียนรัฐเป็นหลัก ขณะที่ สหรัฐฯ มีการรณรงค์ฉีดอย่างกว้างขวางทั้งเด็กหญิงและชาย
แล้วถ้าเด็กย้ายประเทศ ควรปรับแผนแพคเกจวัคซีนเด็กอย่างไร ?
หากลูกของคุณได้รับวัคซีนในประเทศไทยครบถ้วนแล้ว แล้วย้ายไปเรียนหรืออาศัยที่สหรัฐฯ จะต้องนำสมุดวัคซีนไปให้กุมารแพทย์ตรวจสอบ ซึ่งโดยทั่วไปจะ “ยอมรับวัคซีนที่ได้รับแล้ว” แต่ในบางกรณีอาจมีการให้ “บูสต์เข็มเสริม” หรือวัคซีนบางตัวที่ไทยยังไม่ได้ฉีด เช่น Hepatitis A หรือ Influenza
ในทางกลับกัน เด็กที่เคยได้รับวัคซีนในอเมริกา แล้วกลับมาอยู่เมืองไทย ก็อาจได้รับวัคซีนเสริม เช่น BCG ถ้ายังไม่เคยได้รับมาก่อน
เหมือนกันในภาพรวม ต่างกันในรายละเอียด
ประเทศไทยและสหรัฐฯ มีแพคเกจวัคซีนเด็กที่ครอบคลุมและคล้ายกันในภาพรวม แต่ยังมีจุดแตกต่างบางประการที่ควรทำความเข้าใจ โดยเฉพาะเมื่อต้องย้ายถิ่นฐานหรือวางแผนให้ลูกเรียนในต่างประเทศ ควรปรึกษาแพทย์หรือกุมารแพทย์ก่อนเสมอ เพื่อให้แพคเกจวัคซีนเด็กของลูกสมบูรณ์ และเหมาะสมกับบริบทของประเทศที่อาศัยอยู่