หลายคนคงคุ้นกับคำว่า “ยานี้ให้กินก่อนอาหาร” หรือ “ยานี้กินหลังอาหารทันที” แต่เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเวลาในการกินยาถึงสำคัญต่อสุขภาพขนาดนั้น
ความจริงคือ ช่วงเวลาที่เรารับประทานยา ไม่ว่าจะเป็น ก่อนอาหาร ระหว่างอาหาร หรือหลังอาหาร มีผลโดยตรงต่อการดูดซึมของยา ประสิทธิภาพในการรักษา และผลข้างเคียงที่อาจเกิดขึ้น
งานวิจัยด้าน “โครโนเทอราพี” หรือการศึกษาว่า นาฬิกาชีวิตของร่างกาย (body clock) ส่งผลต่อประสิทธิภาพของยาอย่างไร ก็ชี้ว่าเวลาที่เหมาะสมในการกินยายังขึ้นอยู่กับว่าเราเป็น “คนนอนเช้า” หรือ “คนนอนดึก” อีกด้วย
บทความนี้จะพาคุณไปรู้ว่า ควรกินยาเมื่อไหร่ถึงจะได้ผลดีที่สุด และกินผิดเวลาแล้วเกิดอะไรขึ้นได้บ้าง
ทำไมเวลาการกินยาถึงสำคัญ?
เมื่อเราทานอาหาร ระบบย่อยจะเริ่มทำงานทันที
สิ่งนี้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหลายอย่าง เช่น
-
ค่า pH ในกระเพาะเปลี่ยน
-
การย่อยอาหารทำให้การเคลื่อนตัวของกระเพาะช้าลง
-
ยาบางชนิดจับตัวกับแร่ธาตุในอาหารจนดูดซึมไม่ได้
-
ยาบางตัวถูกย่อยสลายก่อนถึงลำไส้
เพราะฉะนั้น การกินยาผิดเวลา อาจทำให้ยา ออกฤทธิ์ได้น้อยลงหรือมากเกินไป รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงของผลข้างเคียงด้วย
1) ยาที่ต้องกิน “ขณะท้องว่าง” – ก่อนอาหาร 30–60 นาที หรือหลังอาหาร 2–3 ชั่วโมง
ยากลุ่มนี้จะออกฤทธิ์ดีที่สุดเมื่อไม่มีอาหารขัดขวาง เพราะอาหารสามารถ
-
ชะลอการดูดซึม
-
ทำให้ยาแตกตัวผิดเวลา
-
จับตัวกับยาและทำให้ร่างกายดูดซึมไม่ได้
ตัวอย่างยาสำคัญ
• ยารักษาโรคกระดูกพรุน (Bisphosphonates เช่น Alendronate)
จำเป็นต้องกินตอนท้องว่างด้วยน้ำเต็มแก้ว และต้องยืน/นั่งตรง 30 นาที เพราะ
-
อาหาร โดยเฉพาะแคลเซียม สามารถ “ขัดขวางการดูดซึมแทบทั้งหมด”
-
หากนอนราบเร็วเกินไป อาจระคายกระเพาะและกรดไหลย้อนรุนแรงได้
• ยาลดกรดโอเมพราโซล (Omeprazole)
ควรกิน ก่อนอาหาร 30 นาที เพื่อให้ยาเริ่มทำงานทันก่อนร่างกายผลิตกรดช่วงกินอาหาร
แต่หากเป็น “คนเป็นกรดไหลย้อนตอนกลางคืน” อาจกินก่อนมื้อเย็นแทน
• ยาไทรอยด์ (Levothyroxine)
ต้องกินตอนท้องว่าง และในเวลาเดิมทุกวัน เพราะการกินพร้อมอาหารอาจ
-
ลดการดูดซึมลงมากถึง 60%
2) ยาที่ควรกิน “พร้อมอาหาร” – เพื่อถนอมกระเพาะและลดผลข้างเคียง
ยาบางตัวจะกัดกระเพาะอย่างมากถ้ากินตอนท้องว่าง เพราะอาหารช่วย
-
ลดการระคายเคืองกระเพาะ
-
ลดความเสี่ยงแผลในกระเพาะ
-
ช่วยให้ร่างกายดูดซึมยาอย่างสม่ำเสมอมากขึ้น
ตัวอย่างสำคัญ
• ไอบูโพรเฟน (Ibuprofen)
เป็นยาที่คนใช้บ่อยมาก แต่ถ้ากินตอนท้องว่างเป็นประจำ อาจทำให้
-
เยื่อบุกระเพาะถูกทำลาย
-
เสี่ยงเลือดออกในกระเพาะ
-
เสี่ยงลำไส้ติดเชื้อหรือ peritonitis ซึ่งอันตรายถึงชีวิตได้
แพทย์จึงแนะนำให้กิน “หลังอาหารทันทีเสมอ”
• ยาต้านอักเสบนอกสเตียรอยด์ (NSAIDs อื่น ๆ)
กินพร้อมอาหารเพื่อลดโอกาสระคายเคืองกระเพาะ
3) ยาที่เหมาะกับการกิน “ก่อนนอน หรือหลังอาหารเย็น”
ยาบางตัวออกฤทธิ์ดีที่สุดในช่วงที่ร่างกายกำลังพัก
หรือในเวลาที่กระบวนการบางอย่างเกิดขึ้นมากที่สุด เช่น การสร้างคอเลสเตอรอลตอนกลางคืน
ตัวอย่างยาที่ต้องกินตอนเย็น
• สแตตินบางชนิด (Lovastatin หรือ short-acting statins)
ควรกินตอนกลางคืนเพราะ
-
ตับสร้างคอเลสเตอรอลสูงสุดช่วงดึก
-
ยาจึงออกฤทธิ์ได้ดีที่สุด
แต่สแตตินแบบออกฤทธิ์นาน เช่น Atorvastatin (Lipitor) สามารถกินเวลาไหนก็ได้
• ยาความดัน
งานวิจัยล่าสุดพบว่า
-
“คนนอนเช้า” กินตอนเช้าจะได้ผลดี
-
“คนนอนดึก” กินตอนเย็นจะได้ผลดีกว่า
แต่แพทย์มักให้กินก่อนนอนในช่วงเริ่มยา เพราะอาจมีอาการเวียนหัวจากการขยายหลอดเลือด
แล้วเราควรกินยาตอนไหนถึงจะดีที่สุด?
คำตอบคือ ขึ้นอยู่กับชนิดยา ชนิดอาหาร และนาฬิกาชีวิตของแต่ละคน
แต่กฎพื้นฐานมีดังนี้:
✔ ท้องว่างถ้าต้องการเพิ่มการดูดซึม
เช่น ยาไทรอยด์, bisphosphonates, omeprazole
✔ พร้อมอาหารหากยากัดกระเพาะ
เช่น ibuprofen และ NSAIDs อื่น ๆ
✔ ก่อนนอนสำหรับยาที่ต้องออกฤทธิ์ช่วงดึก
เช่น statins แบบออกฤทธิ์สั้น
✔ ยาความดันให้ยึดตาม “chronotype”
คนนอนเช้า = เช้า
คนนอนดึก = เย็น
อ้างอิง https://www.dailymail.co.uk








