กรุงเทพฯ 3พฤษภาคม2559 – วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) เผยข้อมูลโอกาสทางการตลาดกลุ่มแรงงานเมียนมาในประเทศไทยแก่ผู้ประกอบการมีแนวโน้มเติบโต พร้อมแนะกลยุทธ์7 ข้อเพื่อเจาะตลาดแรงงานชาวเมียนมาอย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังเผยข้อมูลกลุ่มสินค้าที่เป็นที่ต้องการกลุ่มตลาดแรงงานพม่า ได้แก่ 1. ของใช้ภายในครัวเรือน 2. เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว 3. เครื่องดื่มชูกำลัง 4. อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ 5. ทองคำ ทั้งนี้ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU) ได้จัดงานสัมมนาการตลาดภายใต้หัวข้อ “เจาะตลาดอย่างไร ให้ตรงใจแรงงานเมียนมาในไทย” เมื่อเร็วๆนี้ ณ อาคารมิว วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล
อาจารย์บุริม โอทกานนท์ รองคณบดีงานสนับสนุนการศึกษา และอาจารย์ประจำสาขาการตลาดวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล(CMMU)กล่าวว่าหลังมีการเปิดเขตการค้าเสรีอาเซียน ชาวเมียนมาในประเทศไทยเพิ่มจำนวนมากขึ้น โดยจาก องค์การระหว่างประเทศเพื่อการโยกย้ายถิ่นฐาน (IOM) จำนวนประมาณการของชาวเมียนมาทั้งถูกกฎหมายและไม่ถูกในประเทศไทยสูงถึง2.3 ล้านคน โดยรายได้เฉลี่ยของแรงงานเหล่านี้อยู่ที่ประมาณ 9,000 บาทต่อเดือนมีเม็ดเงินจากแรงงานเมียนมาหมุนเวียนในประเทศไทยราว 20,700 ล้านบาทซึ่งข้อมูลต่างๆเหล่านี้ต่างสะท้อนให้เห็นว่ากลุ่มแรงงานชาวเมียนมาเป็นอีกหนึ่งกลุ่มเป้าหมายที่น่าจับตามองของเหล่านักการตลาดไทย โดยกลุ่มสินค้าที่เป็นที่ต้องการกลุ่มตลาดดังกล่าวได้แก่ 1. ของใช้ภายในครัวเรือน 2. เสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัว3. เครื่องดื่มชูกำลัง 4.อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ และ5. ทองคำ ที่นอกจากแรงงานชาวเมียนมาจะซื้อเพื่อตนเองแล้ว ยังนิยมซื้อเมื่อกลับภูมิลำเนาอีกด้วย ซึ่งในแต่ละเดือนแรงงานชาวเมียนมาใช้จ่ายกับข้าวของเครื่องใช้ต่างๆเหล่านี้กว่า 3,000บาท หรือประมาณ 30เปอร์เซ็นต์ของรายได้
อาจารย์บุริม กล่าวต่อว่า จากการศึกษาวิจัยของนักศึกษาในหัวข้อ “เจาะตลาดอย่างไร ให้ตรงใจแรงงานเมียนมาในไทย” ได้ทำการสำรวจกลุ่มตัวอย่างแรงงานชาวเมียนมา พบว่า ปัจจัยสำคัญที่มีผลต่อพฤติกรรมบริโภคของแรงงานชาวเมียนมาในประเทศไทยคือ การเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่มีอยู่แล้วในพม่า โดยสาเหตุอาจแบ่งเป็นทั้งในเรื่องความเคยชิน ความไว้วางใจในสิ่งที่ตนเคยใช้ และในเรื่องของภาษาและปัญหาทางด้านการสื่อสาร อย่างไรก็ตาม อีกหนึ่งในข้อมูลที่น่าสนใจที่ได้จากการทำวิจัยกับกลุ่มเป้าหมายแรงงานชาวเมียนมาคือ ผู้ที่มีอิทธิพล (Influencer) ต่อการเลือกซื้อสินค้าของชาวเมียนมามากที่สุดคือ คนใกล้ชิด โดยอาจจะเป็น เพื่อนชาวเมียนมาด้วยกัน หรือชาวเมียนมาที่ทำงานมาก่อน ฉะนั้นแล้วเรื่องของหลักการตลาดแบบ “ปากต่อปาก” (Word of Mouth) จึงเป็นหลักสำคัญที่นักการตลาดต้องให้ความสนใจเป็นพิเศษหากต้องการเจาะกลุ่มเป้าหมายแรงงานชาวเมียนมาโดยช่องทางการตลาด (Marketing Channel) ที่ต้องมุ่งเน้นเป็นพิเศษ คือ การทำการตลาดออนไลน์ (Online Marketing) โดยเฉพาะ การทำการตลาดบนเฟสบุ๊ค (Facebook) ที่แรงงานชาวเมียนมามากว่า 60 เปอร์เซ็นต์ให้ความสนใจ และถือเป็นช่องทางที่มีอิทธิพลมากที่สุด
ด้าน นางสาวชัญญพัชร บุนนาค นักศึกษาระดับปริญญาโท สาขาการตลาดวิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)และตัวแทนโครงการวิจัย“เจาะตลาดอย่างไร ให้ตรงใจแรงงานเมียนมาในไทย”กล่าวเพิ่มเติมว่า หลังจากการศึกษา วิเคราะห์ข้อมูลที่ได้จากการทำวิจัยพบว่า การทำการตลาดกับกลุ่มแรงงานชาวเมียนมา
ไม่จำเป็นต้องใช้จำนวนเงินมากมาย แต่ต้องใช้ความเข้าใจและจริงใจ โดยหากตั้งใจที่จะเจาะตลาดดังกล่าว และมองว่าแรงงานชาวเมียนมาเป็นกลุ่มเป้าหมายที่สำคัญกลุ่มหนึ่งแล้วนั้น โอกาสที่จะประสบความสำเร็จในการทำการตลาดกับแรงงานชาวเมียนมาก็มีมากกว่า 50 เปอร์เซ็นต์แล้ว และอีกสิ่งสำคัญที่อยู่ในใจแรงงานเมียนมาในประเทศไทย คือ “ความกลัว” ในเรื่องต่างๆ อาทิ กลัวตำรวจจับ กลัวถูกรังแก กลัวถูกหลอก กลัวถูกดูถูก จึงนำไปสู่กลยุทธ์ 7 ข้อภายใต้คอนเซ็ปต์ “NO FEARS”เพื่อเจาะตลาดแรงงานชาวเมียนมาอย่างมีประสิทธิภาพ
- N –Network : ทำให้สินค้าหรือบริการเป็นที่รู้จักผ่านเพื่อนฝูง คนรู้จักในหมู่แรงงานพม่า
- O –Open-minded : เปิดใจว่าแรงงานเมียนมาก็เหมือนคนไทย
- F –Fairness : ให้ความเท่าเทียม มีความยุติธรรม
- E –Experience: เปิดโอกาสให้ได้ทดลองใช้ และมีกิจกรรมต่างๆที่เข้าถึงกลุ่มเป้าหมายโดยตรง
- A –Awareness : ช่วยลดปัญหาเรื่องการสื่อสาร และสนับสนุนการรับรู้ด้วยการรองรับภาษาเมียนมา
- R –Relationship : สร้างความสัมพันธ์ที่ดี และสร้างความไว้ใจให้กับกลุ่มเป้าหมาย
- S –Simple: ทำการตลาดด้วยวิธีง่ายๆ ไม่ซับซ้อน
อีกทั้งยังได้ ได้ทำการเก็บข้อมูลด้วยวิธีสัมภาษณ์แรงงานชาวเมียนมาที่ทำงานในโรงงาน ทำงานบริการ และผู้ช่วยแม่บ้าน จำนวน200 คนพบกว่า 96 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานเมียนมาคิดว่าประเทศไทยทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเขาดีขึ้น 52 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานเมียนมาวางแผนจะอยู่ในประเทศไทยมากกว่า 5 ปีขึ้นไป และ 66 เปอร์เซ็นต์ของแรงงานเมียนมาวางแผนจะอยู่ในประเทศไทยหากได้รับใบอนุญาตถาวรโดยผลสำรวจดังกล่าวเป็นสิ่งที่ตอกย้ำว่านักการตลาดที่ต้องการประสบความสำเร็จไม่ควรมองข้ามกลุ่มเป้าหมายกลุ่มนี้ด้านนางสาวชัญญพัชรกล่าว
นายณรงค์ศักดิ์ อัศวสกุลไกร ผู้จัดการกองสินค้า ตัวแทนผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มชูกำลังเอ็ม-150 กล่าวเสริมว่า แรงงานเมียนมาในประเทศไทยเป็นกลุ่มเป้าหมายที่ทางบริษัทต้องการเจาะตลาดผ่านการทำการตลาดเฉพาะกลุ่มอย่างจริงจังตั้งแต่ประมาณ 5 ปีที่แล้ว ซึ่งหัวใจหลักของการทำการตลาดกับกลุ่มแรงงานเมียนมา คือ “การผูกมิตรอย่างเข้าใจ” โดยทางทีมวิจัยการตลาดได้ลงไปศึกษาอินไซท์ในพื้นที่เพื่อเรียนรู้พฤติกรรม ความชอบ ความสนใจ ความต้องการของแรงงานเมียนมา จนเข้าใจและสามารถจัดกิจกรรมส่งเสริมการขายอย่างตรงจุด อาทิ การใช้พิธีกรชาวเมียนมา เลือกของรางวัลเป็นเครื่องใช้ไฟฟ้าชนิดที่ถูกใจกลุ่มแรงงานเมียนมา เช่น หม้อหุงข้าว ไมโครเวฟ หม้อนึ่ง พัดลม เป็นต้น รวมไปถึงรู้จักวิถีชีวิตและวัฒนธรรมของชาวเมียนมาที่ชอบร่วมงานบุญมากกว่างานรื่นเริง อันนำไปสู่การเข้าร่วมเป็นสปอนเซอร์ในงานบุญต่างๆ ซึ่งผลลัพธ์ของการจัดกิจกรรมต่างๆดังกล่าวประสบความสำเร็จอย่างเป็นรูปธรรม อันเห็นได้จากยอดขายสินค้าในบริเวณที่มีแรงงานเมียนมาเพิ่มมากขึ้นอย่างชัดเจน
สำหรับผู้ที่สนใจข้อมูลเพิ่มเติมสามารถสอบถามได้ที่ วิทยาลัยการจัดการ มหาวิทยาลัยมหิดล (CMMU)โทรศัพท์
02-206-2000 หรือเข้าไปที่ www.cmmu.mahidol.ac.th