ถอดบทเรียน : น่านกับการสร้างมัสยิด

7-8 ส.ค. ที่ผ่านมา ข้าพเจ้าได้สัมผัสกับแผ่นดินเมืองน่าน และได้รับรู้วิถีชีวิตอันสุขสงบของชาวเมืองนี้ แผ่นดินที่เต็มไปด้วยขุนเขาน้อยใหญ่และแมกไม้สายธารอันน่ารื่นรมย์ ผู้คนที่ใช้ชีวิตอย่างเรียบง่ายภายใต้ความเชื่อทางศาสนาที่พวกเขานับถือ ทำให้น่านเป็นเมืองที่แทบไม่มีอาชญากรรมเกิดขึ้น ไม่มีตึกสูง ในเมืองน่าน ทั้งเมืองมีร้านเกมส์เพียง 4 ร้าน ข้าพเจ้าแทบไม่พบสถานบันเทิงกลาดเกลื่อนเหมือนเมืองอื่น ๆ ในประเทศไทย ไม่มีเสียงรถซิ่งและไม่พบวัยรุ่นมั่วสุมตามแหล่งอโคจรอย่างที่เคยเจอทั่วไป แต่ได้รับข้อมูลว่าเด็ก ๆ จาก รร.ชนบทจำนวนมากสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยดัง ๆ กันได้เป็นว่าเล่น

ข้าพเจ้าคิดว่าบริบททางสังคมและสิ่งแวดล้อมของน่านมีส่วนสำคัญยิ่งต่อการเติบโตของเด็ก ๆ เหล่านี้ สัจธรรมของชีวิตที่ถูกกำหนดโดยพระผู้เป็นเจ้าที่ว่าบาปกรรมและอบายมุขทั้งหลายมิได้ทำลายเฉพาะร่างกายของเราเท่านั้น แต่มันทำลายไปถึงจิตวิญญาณอีกด้วย คือสัจธรรมที่ใช้ได้กับทุกสังคมและทุกยุคสมัย ใครก็ตามที่เติบโตมาโดยห่างไกลจากอบายมุขจึงมีโอกาสพัฒนาตนเองบนโลกนี้ได้มาก แต่หากเติบโตมาในแหล่งมั่วสุมอบายมุขและชีวิตก็คลุกอยู่กับสิ่งเหล่านั้นก็ยากจะพบเจอแสงสว่างที่นำพาสู่ความสำเร็จ

แต่พี่น้องน่านจำนวนหนึ่งก็ต่อต้านการสร้างมัสยิด ซึ่งดูจะค้านกับวิถีชีวิตที่พบเห็น วิถีที่เปี่ยมด้วยน้ำใจไมตรีต่อผู้คน ข้าพเจ้าถามมุสลิมครอบครัวหนึ่งเดียวที่ลงหลักปักฐานทำมาหากินในเขตเมืองน่านซึ่งเอื้อเฟื้ออาหารการกินแก่คณะของข้าพเจ้าตั้งแต่ไปถึงจนกลับ ได้ความว่าเพื่อนบ้านข้างเคียงไม่มีใครแสดงความรังเกียจเดียดฉันท์ความเป็นมุสลิมเลย กลับต่างมีน้ำใจช่วยเหลือเกื้อกูลกันด้วยดีเสมอมา แม้วันที่ข้าพเจ้าและคณะลงพื้นที่ เพื่อนบ้านชาวพุทธเหล่านี้ยังมาช่วยจัดเก้าอี้ กางเต๊นท์ให้เพื่อนบ้านมุสลิมได้รับต้อนรับแขกอย่างเต็มที่

แล้วเหตุใด พวกเขาจึงต่อต้านการสร้างมัสยิด ?

ลูกหลานชาวน่านหลายคนเป็นทหารและถูกส่งไปปฏิบัติหน้าที่ในสามจังหวัดใต้ แล้วเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ การรับรู้เกี่ยวกับอิสลามและมุสลิมของพวกเขาจึงผูกติดอยู่กับความเจ็บปวด ความสูญเสียและโหดร้ายทารุณ เมื่อบวกกับข่าวการสังหารพระภิกษุ ยิ่งทำให้ชาวน่านซึ่งได้ชื่อว่าศรัทธาในพุทธศาสนาอย่างลึกซึ้ง ยิ่งรู้สึกไม่ดีต่ออิสลามมากขึ้น เมื่อจู่ ๆ จะมีการสร้างมัสยิดอันเป็นสัญญลักษณ์แห่งอิสลามในพื้นที่ซึ่งไม่มีมุสลิมอยู่เลย พวกเขาจึงแสดงออกด้วยการต่อต้านอย่างเต็มที่

เราไม่อาจตำหนิพี่น้องชาวน่านที่แสดงออกเช่นนั้น สิ่งที่เราชาวมุสลิมควรทำคือดำเนินการตามรอยบาทก้าวแห่งบรมศาสดาในการก่อสร้างมัสยิดที่มดีนะฮ คือการสร้างความเข้าใจ สร้างคนก่อนสร้างมัสยิด ด้วยการนำสัจธรรมอิสลามที่ห่างหายไปมากแล้วจากวิถีชีวิตมุสลิม แต่ไปปรากฎอยู่ส่วนหนึ่งในวิถีแห่งน่านนคร กลับมาใช้กันอีกครั้ง นั่นคือความเรียบง่ายในการดำรงชีวิต ซึ่งทำให้ครอบครัวอบอุ่นมั่นคงมากกว่าการแข่งขันแย่งชิงความมั่งคั่งร่ำรวยที่ทำให้แม่ห่างเหินกับลูก จนส่งผลให้เด็ก ๆ เติบโตมาอย่างหยาบกระด้าง ไม่มีจิตสาธารณะจึงขาดคนที่คอยส่งเสริมความดี ไม่มีคนคอยยับยั้งความชั่ว แต่ต่างคนต่างอยู่มากขึ้น ทำให้อบายมุข ยาเสพติดและความเลวร้ายแพร่ระบาดอย่างรวดเร็วเข้าทำลายสติปัญญาของเยาวชน จนกล่าวได้ว่าไม่มีชุมชนมุสลิมที่ไหนปลอดจากสิ่งเหล่านี้

ที่สำคัญ มุสลิมต้องดำเนินบทบาทหน้าที่แห่งการเป็นเมตตาธรรมต่อเพื่อนมนุษย์อย่างเต็มกำลัง เพื่อลบภาพแห่งความเจ็บปวดโหดร้ายที่ฝังอยู่ในความรู้สึกของพี่น้องชาวน่านและอีกหลายๆ ที่ เพราะบาดแผลเหล่านั้นไม่มียาขนานใดจะรักษาได้ นอกจากความเมตตาจากหัวใจจริง

** ขอบคุณข้อมูลจากปลัด จ.น่าน ด้วยครับ


เกี่ยวกับผู้เขียน : อิหม่าม ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ เป็นผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้, อิหม่ามมัสยิดบ้านเหนือ ต.คูเต่า อ.หาดใหญ่ จ.สงขลา

ติดตามงานเขียนอื่นๆ ได้ที่ https://www.facebook.com/wisoot.binlateh