สหรัฐฯ ปีศาจคาบคัมภีร์

ช่างประจวบเหมาะเหลือเกิน สำหรับการมาเยือนประเทศไทย ของนายแดเนียล รัสเซล ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐอเมริกา ฝ่ายกิจการเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ที่มาในห้วง อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เพิ่งถูกสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) ถอดถอน และทำให้โดนตัดสิทธิ์ทางการเมือง 5 ปีด้วย

การมาของนายแดเนียล รัสเซลได้เชิญนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เข้าพบที่บ้านพักทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย โดยต่อมา นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล อดีตรองนายกฯ และรมว.ต่างประเทศ ได้ออกมาเปิดเผยผลการพูดคุยกับสื่อมวลชน

นอกจากนั้น นายแดเนียล รัสเซล ยังได้ไปปาฐกถา ที่สถาบันศึกษาความมั่นคงและนานาชาติ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กรุงเทพฯ

ซึ่งปรากฏว่า ทั้งการให้สัมภาษณ์ของนายสุรพงษ์ และปาฐกถา ของนายแดเนียล นั้นเป็นไปในทิศทางเดียวกัน
โดยสรุป คือ ได้แสดงความเป็นห่วงสิ่งที่เกิดขึ้นกับอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ที่มาจากการเลือกตั้งแล้วต้องโดนถอดถอนจากผู้ที่มาจากการแต่งตั้ง ที่ไม่ได้มาตามครรลองประชาธิปไตย

ผู้แทนสหรัฐคนนี้ยังแนะนำว่า การดำเนินการปฏิรูปให้สอดคล้องกับความต้องการของคนทุกภาคส่วนนั้น ต้องยกเลิกกฎอัยการศึก ยกเลิกการจำกัดเสรีภาพในการพูดและการชุมนุม

และบอกว่าความสัมพันธ์กับประเทศไทยกับสหรัฐจะดีขึ้น ก็ต่อเมื่อไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงเป็นมาตรฐานสากลโลก

คำพูดและท่าทีของนายแดเนียล ถูกฝ่ายตรงข้ามรัฐบาลปัจจุบัน นำไปขยายผลจนการเมืองไทยกลับเข้าสู่สภาวะน้ำกระเพื่อมอีกครั้ง หลังจากสงบนิ่งมานับตั้งแต่หลายฝ่ายถูกเชิญให้ไปดื่มกาแฟฟรี

แน่นอนว่า การที่ตัวแทนพญาอินทรีออกมาแสดงบทบาทในประเทศไทย โดยอ้างประชาธิปไตย การเคารพสิทธิมนุษยชน ความเท่าเทียม และกฎหมายนั้น ในหลักการประชาธิปไตย คำพูดของนายแดเนียลย่อมมีนัยและความหมายที่น่าสนใจรับฟัง

ทว่าที่หลายคนไม่แน่ใจก็คือ บทบาทของสหรัฐฯ เช่นนี้มีเพียงมาตรฐานเดียวหรือไม่?? และใช้มาตรฐานนี้กับทุกประเทศหรือเปล่า?

เพราะในเวลาไล่เลี่ยกันนั้น นายเบน โรดส์ (Ben Rhodes) รองผู้อำนวยการฝ่ายความมั่นคงของสหรัฐฯ ด้านการสื่อสาร ได้ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับความเป็นไปได้กรณีที่โอบามาจะหยิบยกเอาเรื่องสิทธิมนุษยชนขึ้นมาพูดกับกษัตริย์ซัลมาน กษัตริย์องค์ใหม่ของซาอุฯ ว่า มันไม่ใช่เรื่องสำหรับสหรัฐฯที่จะเที่ยวไปบอกประเทศอื่นให้ทำอะไร

“ผมคิดว่าประธานาธิบดีโอบามาจะพูดว่ามันไม่ใช่เรื่องของสหรัฐฯ ที่จะเที่ยวไปบอกประเทศต่างๆว่าให้ทำอะไร” เขากล่าวก่อนที่โอบามาจะพบกับกษัตริย์ซาอุฯ

บทบาทที่ขัดแย้งกันสุดขั้วของนายแดเนียลกับนายเบนทั้งที่เป็นเรื่องเดียวกัน บางทีจึงทำให้อดนึกไม่ได้ว่า สองคนนี้มาจากประเทศเดียวกันหรือเปล่า!!

นอกจากนั้น ยังมีกรณีซึ่งปรากฏชัดว่าสหรัฐฯ ได้เข้าไปแทรกแซงการเมืองในประเทศอื่นที่มีความขัดแย้งกันอยู่และสนับสนุนข้างใดข้างหนึ่งจนเกิดเป็นสงครามกลางเมือง เช่นในอิรัก ซีเรีย และ ยูเครน ฯลฯ

หรือแม้ในสหรัฐเอง ที่ยังมีกรณีการเหยียดสีผิวในหลายรัฐของตัวเอง

เหล่านี้จึงเป็นบทบาทที่ย้อนแย้ง จนทำให้เชื่อได้ว่าเอาเข้าจริง “สหรัฐทำได้ทุกอย่างเพื่อรักษาผลประโยชน์ของตัวเอง”

ส่วนคำว่าประชาธิปไตยหรือสิทธิมนุษยชนที่สหรัฐฯ ท่องอาขยานอยู่นั้นก็เป็นเพียงหน้ากากและคำลวงที่เอาไว้หลอกล่อ ข่มขู่ชาติอื่นเท่านั้น

คงไม่ผิดที่จะกล่าวว่า ตัวจริงของสหรัฐฯ ก็คือ “ปีศาจคาบคัมภีร์” ดีๆ นี่เอง