งานเลี้ยงละศีลอดในเดือนรอมฎอน ซึ่งจัดโดย “ทำเนียบรัฐบาล” และ “รัฐสภา” นั้นมีเป็นประจำต่อเนื่องมาหลายปีหลายรัฐบาลแล้ว โดย ในฟากของรัฐบาลก็จะมี “นายกรัฐมนตรี” เป็นเจ้าภาพในนามของรัฐบาลจัดเลี้ยงที่ทำเนียบรัฐบาลด้านรัฐสภาก็จะมี “ประธานรัฐสภา” เป็นเจ้าภาพจัดเลี้ยงที่อาคารรัฐสภา
แขก ผู้มีเกียรติที่ได้รับเชิญเข้าร่วมงานหลักๆ ก็จะมี จุฬาราชมนตรี คณะรัฐมนตรี สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา ผู้แทนเอกอัครราชทูตมุสลิมประจำประเทศไทย คณะทุตานุทูตมุสลิมประจำประเทศไทย คณะกรรมการกลางอิสลามแห่งประเทศไทย ผู้แทนองค์กรมุสลิมแห่งประเทศไทย บุคคลสำคัญทางศาสนาอิสลาม สื่อมวลชนมุสลิม และแขกผู้มีเกียรติอื่นๆ การจัดเลี้ยงนี้ของรัฐบาลและรัฐสภา นัยเพื่อเป็นการให้เกียรติและร่วมแสดงความยินดีกับพี่น้องชาวไทยมุสลิมทั่ว ประเทศ ที่ได้มีโอกาสปฏิบัติศาสนกิจในเดือนรอมฎอน 28 กรกฎาคม 2556
ทั้งนี้ นอกจากรัฐสภา และทำเนียบรัฐบาลแล้ว ก็ยังมีสถานทูตของประเทศต่างๆ ทั้งประเทศมุสลิมและไม่ใช่มุสลิมที่ได้จัดเลี้ยงละศีลอดแก่พี่น้องมุสลิม เช่นนี้ด้วย ที่ผ่านมาแต่ละปี การจัดเลี้ยงแต่ละครั้งของทุกองค์กรเป็นไปด้วยความราบรื่น มีบุคคลสำคัญของมุสลิมไทยต่างได้ให้เกียรติเข้าร่วมงานมาโดยตลอด
กระทั่ง ในปีนี้ “ปัญหา” ก็เกิดขึ้นเพียง 1 คืนก่อนการจัดเลี้ยงของ “รัฐสภา” ที่จะจัดขึ้นในเวลา 18.00 น. ของวันที่ 26 ก.ค. เมื่อส.ส.มุสลิมท่านหนึ่งได้ออกมาโวยว่า อาหารที่ทางรัฐสภาจะใช้เลี้ยงละศีลอดแก่ผู้นำมุสลิมนั้น “อาจไม่ถูกหลักฮาลาล” !!
โดยผู้ที่นำเรื่องนี้มาเปิดเผยก็คือ นายสามารถ มะลูลีม ส.ส.กทม. พรรคประชาธิปัตย์ ที่กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า ตนทราบมาว่า ในการจัดงานเลี้ยงละศีลอดเดือนรอมฎอนของสภาผู้แทนราษฎร ที่จะจัดขึ้นเมื่อเวลา 18.00 น. ของวันที่ 26 กรกฎาคม ที่รัฐสภา จะเกิดปัญหาและส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อประเทศไทย
“เนื่องจาก ก่อนหน้านี้ เจ้าหน้าที่สภาได้ตกลงกับร้านค้าของชาวมุสลิมให้มาออกร้านเพื่อจัดเลี้ยง อาหาร หลังการถือศีลอดในวงเงินงบประมาณ 5 แสนบาท ซึ่งมั่นใจได้ว่าร้านอาหารที่เป็นของพี่น้องมุสลิม จะทำอาหารถูกต้องตามหลักฮาลาลของศาสนาอิสลาม แต่ปรากฏว่า พอถึงวันงานในช่วงเช้าที่ผ่านมา กลับพบว่ามีการว่าจ้างโรงแรมหรูระดับ 5 ดาว ย่านสุขุมวิท ด้วยวงเงินงบประมาณ 1.5 ล้านบาท ให้จัดอาหารเลี้ยงในงานดังกล่าวแทน ทำให้สมาชิกรัฐสภาที่เป็นมุสลิมตะขิดตะขวงใจ เพราะวิตกถึงวัตถุดิบที่จะนำมาปรุงเป็นอาหารว่า ถูกต้องตามหลักฮาลาลหรือไม่” นายสามารถกล่าว และยังบอกอีกว่า ซึ่งตน นายณรงค์ ดูดิง ส.ส.ยะลา และนางนาถยา เบ็ญจศิริวรรณ ส.ส.กทม. นายเจะอาหมิง โตะตาหยง ส.ส.นราธิวาส และนายธานินทร์ ใจสมุทร ส.ส.สตูล พรรคชาติไทยพัฒนา และเพื่อน ส.ส.มุสลิมอีกหลายสิบคนทราบเรื่องนี้แล้ว บางคนถึงกับระบุว่าจะไปร่วมงาน แต่จะไม่ร่วมรับประทานอาหารเช่นเดียวกับตน และอีกหลายคนจะไม่ไปร่วมงาน เพราะเกรงว่าเป็นอาหารที่ขัดต่อหลักศาสนา
นาย สามารถกล่าวอีกว่า นอกจากนี้ อาจทำให้เอกอัครราชทูตและอุปทูตและตัวแทนกลุ่มประเทศมุสลิมที่จะมาร่วมงาน ไม่พอใจก็ได้ ที่สำคัญการบอกเลิกว่าจ้างร้านอาหารมุสลิม ที่ประกอบอาหารถูกหลักศาสนาได้สร้างความเสียหายให้กับร้านเหล่านั้น เพราะมีการเตรียมวัตถุดิบ เพื่อจัดเลี้ยงแขกจำนวนมากไว้แล้ว และน่ากังวลว่า การใช้งบประมาณสูงกว่า 1 ล้านบาท ในการจัดเลี้ยงเพียงอาหารค่ำ 1 มื้อ คุ้มค่าหรือไม่ ยิ่งทราบว่าไม่เป็นร้านอาหารที่เป็นมุสลิม หรือทำไม่ถูกหลัก ยิ่งเป็นการสร้างความเสียหาย
ผลจากการออกมาแฉของ ส.ส.สามารถ มะลูลีม ได้ทำให้สังคมเริ่มตั้งคำถามและสืบค้นว่า อาหารที่นำมาใช้เลี้ยงละศีลอดในแต่ละปีของหน่วยงานต่างๆ นั้น ผ่านการรับรองฮาลาลหรือไม่?? เพราะโดยที่มุสลิมทั่วไปทราบกันดีว่าเดือนรอมฏอนเป็นเดือนอันประเสริฐสุดของ มุสลิม ดังนั้น อาหารสำหรับละศีลอดก็สำคัญอย่างยิ่งที่จะต้องถูกตามหลักการศาสนาบัญญัติ
ซึ่ง ผลปรากฏว่า ทั้ง “รัฐสภา” และ “ทำเนียบรัฐบาล” รวมทั้งงานเลี้ยงของอีกหลายๆสถานทูตนั้น มี “โรงแรมหรูระดับ 5 ดาว” แห่งหนึ่งที่เป็นผู้รับจ้างแทบทั้งสิ้น ที่สำคัญก็คือ ครัวของโรงแรมแห่งนี้ไม่เคยได้รับการรับรอง “ฮาลาล” จากทางสำนักงานคณะกรรมการกลางอิสลามฯ แต่อย่างใด !!
หลายคนจึง รู้สึกตะขิดตะขวงใจเมื่อได้รับรู้ข้อมูลดังกล่าว เพราะว่า อาหารฮาลาลนั้น ไม่ใช่สักแต่ว่า “ไม่มีหมู” เท่านั้น แต่การจัดเตรียมอาหารฮาลาลนั้น ผู้ปรุงจะต้องมีความรู้และเข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการทั้งหมด ทั้งวัตถุดิบที่ใช้/วิธีการล้าง และรวมไปถึงอุปกรณ์ต่างๆ ที่เกี่ยวข้องจะต้องไม่ไปปะปนกับอุปกรณ์ที่ใช้ร่วมกับอาหารฮารอม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในโรงแรมใหญ่ๆ หากไม่มีการแยกครัวฮาลาล ก็จะไม่สามารถผ่านการตรวจสอบของฝ่ายกิจการฮาลาล อย่างแน่นอน
กล่าวสำหรับกรณีรัฐสภานั้น นอกจากคำถามเรื่องฮาลาลแล้ว ยังมีการตั้งข้อสังเกตถึงงบประมาณจัดเลี้ยงที่สูงลิบลิ่วถึง 1.5 ล้านบาท!!
นอกจาก นั้น ผลจากการขุดคุ้ยทำให้มีข่าวกระเซ็นออกมาอีกว่า ผู้ที่ล็อบบี้ให้ใช้โรงแรมห้าดาวแทนที่จะใช้ร้านอาหารมุสลิมนั้น ดันเป็น “อีหม่าม” คนหนึ่งที่ใกล้ชิดนักการเมืองฟากรัฐบาลซะงั้น??
ที่สุด นายสุวิจักขณ์ นาค-วัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ก็ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ถึงกรณีที่ ส.ส.มุสลิม พรรคประชาธิปัตย์ ทักท้วงเรื่องอาหารงานเลี้ยงละศีลอด เดือนรอมฎอน ที่รัฐสภา ไม่ได้มาตรฐานตามฮาลาลว่า งานเลี้ยงในปีนี้ รัฐสภาใช้อาหารจากโรงแรมเชอราตัน ซึ่งนายณรงค์พร ภิญโญ ผอ.สำนักความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ รัฐสภา รายงานว่าใช้โรงแรมจัดเลี้ยงมากกว่า 6 ปีแล้ว ตั้งแต่สมัยนายพิทูร พุ่มหิรัญ เป็นเลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นโรงแรมเดิมมาโดยตลอด และเชื่อว่าถูกต้องตามมาตรฐานฮาลาล ขณะเดียวกันทำเนียบรัฐบาลก็ใช้โรงแรมเชอราตันจัดเลี้ยงเช่นกัน
“ซึ่ง การทักท้วงครั้งนี้ ก็ไม่สามารถแก้ไขได้ทัน เพราะเจ้าหน้าที่ได้ติดต่อและเตรียมงานไว้หมดแล้ว แต่ในปีหน้าตนจะกำชับเจ้าหน้าที่ให้พิจารณาเรื่องดังกล่าวให้รอบคอบ เนื่องจากเข้าใจว่าเป็นเรื่องละเอียดอ่อน ส่วนงบประมาณที่ใช้จัดงานในปีนี้ก็ใช้ประมาณ 1.1 ล้านบาทเศษเท่านั้น ไม่ถึง 1.5 ล้านบาทตามที่มีการกล่าวหา และการดำเนินการทั้งหมดจะมีคณะกรรมการคัดเลือกถูกต้อง” นายสุวิจักขณ์ กล่าว
จากปากคำของนายสุวิจักขณ์ นาควัชระชัย เลขาธิการสภาผู้แทนราษฎร ที่ยืนยันว่า กว่า 6 ปีแล้วที่ทั้งรัฐสภาและทำเนียบต่างก็ใช้โรงแรมเดิมจัดเลี้ยงมาโดยตลอด ซึ่งภายใน 6 ปีนั้นต่างผ่านมาหลายพรรคหลายรัฐบาล ดังนั้นจึงเป็นที่เปิดเผยและยืนยันได้ว่า ทุกรัฐบาลยังไม่ได้เข้าใจและให้ความสำคัญในประเด็นละเอียดอ่อนนี้แต่อย่างใด
กรณีที่เกิดขึ้นนี้จึงเป็นอุทาหรณ์ให้รัฐบาลและข้าราชการได้กลับนำไปทบทวน เพื่อหาแนวทางปฏิบัติที่ถูกต้องในอนาคต แต่ขณะเดียวกันสังคมมุสลิมก็ต้องกลับมาย้อนมองตนเองด้วยเหมือนกันว่าที่ผ่าน มาได้ทำความเข้าใจหลักการศาสนาอิสลามให้แก่ผู้อื่นได้อย่างดีแล้วหรือยัง
นอกจากนั้น สังคมมุสลิมก็ต้องสืบเสาะกรณีเช่นที่มีข่าวออกมาว่า บุคคลระดับอีหม่ามยังหวังเปอร์เซ็นต์ค่านายหน้าเล็กๆ น้อยๆ ด้วยการล็อบบี้เจ้าหน้าที่ให้ใช้อาหารจากโรงแรมหรูทั้งที่รู้ว่าไม่ฮาลาล
ด้วยหากเป็นเรื่องจริง สังคมมุสลิมก็แทบต้องหุบปากให้สนิท เพราะโวยวายไปก็อายเขาเปล่าๆ!!