เห็นได้ชัดว่า ภัยคุกคามจาก “ไอซิส” (ISIS) เป็นตัวขับเคลื่อนให้อิสราเอลและอียิปต์ใกล้ชิดกันมากขึ้นในทะเลทราย “ไซนาย” ทางตอนเหนือของอียิปต์ นำไปสู่การที่ฝ่ายหนึ่งได้ใช้กองทัพอากาศของตนสนับสนุนอีกฝ่ายหนึ่งในการต่อต้านเครือข่ายกลุ่มก่อการร้าย
ยุทธศาสตร์ในทศวรรษที่ผ่านมา ซึ่งเรียกกันว่า ‘สงครามต่อต้านการก่อการร้าย’ ที่แผ่ขยายทั่วโลกได้นำมาซึ่งการสร้างพันธมิตรใหม่ๆ ระหว่างกันมากมาย รวมทั้งบางส่วนที่แตกแยกกันก็มี ทว่าความสัมพันธ์ที่เพิ่มขึ้นของอิสราเอลกับประเทศอาหรับ ไม่ได้เป็นเพียงผลมาจากการร่วมมือกันต่อต้านการก่อการร้าย แต่มันมีรากเหง้าที่ค่อนข้างมาจากความเป็นปฏิปักษ์ร่วมกันของพวกเขาต่อ “อิหร่าน”
ช่วงเวลาที่ผ่านมา ท่ามกลางอิทธิพลของอิหร่านที่ปรากฏขึ้นและแผ่ขยายจนกลายเป็นผลึกใส พันธมิตรเหล่านี้ก็ได้ก้าวออกมาจากมุมลี้ลับที่เคยปกปิด และความสัมพันธ์ของพวกเขาก็กลายเป็นเรื่องเปิดเผยต่อสาธารณะ อีกยังให้ความสำคัญกับยุทธศาสตร์ร่วมกัน ซึ่งหมายความว่าประเทศอาหรับชั้นนำไม่ได้รังเกียจ “อิสราเอล” อีกต่อไป พวกเขาพร้อมที่จะประนีประนอมเรื่อง “ปาเลสไตน์” เพื่อจะได้อิสราเอลมาอยู่เคียงข้างตนในการทำสงครามต่อต้านอิหร่าน และอาจจะเต็มใจที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตอย่างเป็นทางการด้วยการรับรองอิสราเอลในฐานะ “ประเทศ” (รัฐ)
สิ่งที่น่าสนใจพอๆ กันกับที่ประเทศอาหรับกำลังดูดดื่มกับอิสราเอลในตอนนี้ ก็คือ พวกเขาไม่ถูกต่อต้านใดๆ จากภายในประเทศของตนต่อความสัมพันธ์นี้ ซึ่งหมายความว่า ความเกลียดชังต่ออิหร่านของชาวอาหรับนั้นมีมากมายท่วมท้นเสียจนครอบงำความเกลียดชังต่ออิสราเอล
ที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่อิสราเอลได้เปิดเผยว่า พวกเขาได้แอบพบกันแบบลับๆ กับเจ้าหน้าที่จากประเทศอ่าวเปอร์เซียในการเจรจาเพื่อสร้างพันธมิตรของพวกเขาในการต่อต้าน “ศัตรูร่วม” ซึ่งก็คือ “อิหร่าน” ดังนั้นถึงแม้ว่าเหตุผลในปัจจุบันสำหรับปฏิบัติร่วมอิสราเอล – อียิปต์ว่าเพื่อขจัดภัยคุกคามของผู้ก่อการร้าย แต่ไม่มีการโต้แย้งว่าเป้าหมายที่แท้จริงของพันธมิตรนี้ก็คืออิหร่าน การดำเนินงานร่วมกันเหล่านี้เป็นเสมือนแพลตฟอร์มที่ทำให้ประเทศที่เกี่ยวข้องสามารถทดสอบความเชื่อมั่นของกันและกันและขยายความร่วมมือได้ต่อไป
นอกจากนี้โดยการตั้งสถานะความร่วมมือของพวกเขาในแง่ต่อต้านการก่อการร้าย, ก็ทำให้พันธมิตรอาหรับของอิสราเอลสามารถสามารถปลอบโยนประชาชนของตนได้ง่ายขึ้น พวกเขาถูกบังคับให้คิดว่านั่นเป็นประโยชน์ของความร่วมมือกับอิสราเอลที่เป็นศัตรู และอันตรายเกินไปที่จะต่อสู้เพียงลำพังกับไอซิส ซึ่งเป็นศัตรูที่ใหญ่กว่าและได้ทำสิ่งที่น่าสยดสยองในภูมิภาคนี้
เพราะฉะนั้นโดยการเล่นกับ “ความกลัว” การก่อการร้าย การเป็นพันธมิตรที่ซ่อนเร้นอยู่กับอิสราเอลขณะนี้ก็ถูกเปลี่ยนเป็นความสัมพันธ์ที่เปิดเผย และเมื่อมีการโจมตีไม่กี่ครั้งที่นี่และที่นั่นในไซนาย โมเมนตัมการโจมตีที่ยิ่งใหญ่ก็กำลังถูกสร้างขึ้น และด้วยข่าวที่รั่วไหลออกมาอย่างจงใจเกี่ยวกับความร่วมมือครั้งนี้ ชุดความคิดของสาธารณชนก็กำลังถูกปรับให้พร้อมสำหรับการปรับเปลี่ยนการรับรู้ของชาวอาหรับต่ออิสราเอลว่าเป็นศัตรูโดยเนื้อแท้
นอกจากนั้น ความร่วมมือทางทหารครั้งนี้ยังทำให้อียิปต์กลายเป็นสถานที่ให้เจ้าหน้าที่ซาอุดิอาระเบียและอิสราเอลเริ่มพบปะกันบ่อยมากขึ้น ในขณะที่รายงานกล่าวว่าวัตถุประสงค์ของการประชุมคือเพื่อหารือในการขยายผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจ แต่ก็มีการรายงานด้วยว่าทั้งซาอุดีอาระเบียและอียิปต์กำลังเตรียมพื้นที่และประทับใจกับเจ้าหน้าที่ปาเลสไตน์ต่อการยอมรับ ‘ข้อตกลงแห่งศตวรรษ’ (deal of the century) และแผนสันติภาพของสหรัฐฯ ซึ่งยังไม่ได้เปิดเผยอย่างเป็นทางการ
ในบริบทนี้ หนังสือพิมพ์ในภูมิภาครายงานโดยอ้างถึงเจ้าหน้าที่ทางการที่ไม่เปิดเผยชื่อระบุว่า อาหรับหลายประเทศรู้สึกประทับใจเมื่อ “มาห์มุด อับบาส” ยอมรับข้อตกลงนี้ในท้ายที่สุด เรื่องราวเหล่านี้เผยให้เห็นว่าล็อบบี้ยิสต์ของ “ฝ่ายสนับสนุนอิสราเอล” มีสถานะอยู่ในระดับสำคัญมากของการเมืองในตะวันออกกลาง และการเตรียมพร้อมในการยอมรับข้อตกลงนี้กำลังถูกดำเนินการอยู่
ทั้งนี้ซาอุดีอาระเบียเป็นผู้นำในการดำเนินการดังกล่าว โดยในเดือนมกราคม “มาห์มุด อับบาส” อยู่ที่กรุงริยาด ซึ่งเขาได้พบกับมกุฎราชกุมาร “มูฮัมหมัด บินซัลมาน” และได้รับแจ้งถึงความจำเป็นที่สำคัญที่สุดในการยอมรับ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” ซึ่งทำให้เขาต้องกลับประเทศไปในสภาพตกใจ ก่อนหน้านั้นในเดือนธันวาคม ปี 2017 (พ.ศ.2560) ซาอุดีอาระเบียได้แถลงอย่างเป็นทางการว่า พวกเขามีแผนการที่จะสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิสราเอลไว้อย่างครบถ้วน ซึ่งเป็นส่วนสำคัญที่เห็นได้ชัดว่า ชาวปาเลสไตน์ได้ยอมรับ “ข้อตกลงแห่งศตวรรษ” นี้
แผนนี้แม้ว่าจะยังไม่ถูกเปิดเผย แต่ดูเหมือนว่าจะเป็นการตัดสินใจครั้งแรกที่จะดำเนินการต่อประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ และทำให้ชัดเจนต่อโรดแม็บในการสร้างพันธมิตรที่ยิ่งใหญ่เพื่อต่อต้านอิหร่าน
แต่ทั้งหมดนี้อาจจะไม่เป็นไปอย่างราบรื่นไปตามที่พวกเขาแลเห็น!!
ดังนั้น กลุ่มประเทศอาหรับที่นำโดยซาอุดีอาระเบีย (ซาอุดีอาระเบีย อียิปต์ ยูเออี และจอร์แดน) จึงมีบทบาทในการสกัด “ขวากหนาม” ของข้อตกลงดังกล่าว เช่น “ตุรกี” ซึ่งเป็นประเทศที่ทรงพลังอย่างมากในการผลักดันแคมเปญเพื่อ “สิทธิของชาวปาเลสไตน์”
ความไม่ลงรอยกันของนโยบาย นำมาซึ่งผลกระทบที่เห็นได้ชัดจากคำแถลงล่าสุดของรัฐมนตรีต่างประเทศสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ที่พุ่งเป้าหมายไปยังตุรกี ต่อแคมเปญที่เป็น “อันตราย” ในภูมิภาค โดยขอให้ตุรกี “เคารพ” อธิปไตยของรัฐอาหรับ ซึ่งเป็น “บางอย่าง” ที่รัฐมนตรีต่างประเทศอาหรับเอมิเรตส์กล่าวเพิ่มเติมว่า เป็นปัจจัยสำคัญสำหรับอังการาที่จะทำให้ได้กลับไปสู่ ‘รัฐที่มีสถานะมั่นคงตามปรกติ’
“การปิดปากผู้ที่อาจทำให้เสียแผน” เป็นสิ่งจำเป็น เพราะหากประเด็นปัญหาอิสราเอล-ปาเลสไตน์ไม่สามารถก้าวไปข้างหน้าเป็นลำดับแรก ประเทศอาหรับก็อาจไม่สามารถโน้มน้าวให้สาธารณชนยอมรับความจำเป็นในการสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับอิสราเอล
เรื่องนี้ได้รับการยืนยันเมื่อเร็ว ๆ นี้ จากนายทหารระดับสูงของอิสราเอล “พลจัตวาอูดิ เดเกล” (Udi Dekel) ที่กล่าวว่า “ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ไม่สำคัญสำหรับพวกเขา (รัฐอาหรับ) อย่างที่เคยเป็นมาก่อน แต่พวกเขา (รัฐอาหรับ) กลัวที่จะสร้างความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการกับอิสราเอลหากปราศจากการขับเคลื่อนที่สำคัญต่อประเด็นปัญหาอิสราเอล – ปาเลสไตน์ ”
ในบริบทนี้ การเจรจาระหว่างอิสราเอลกับซาอุดีอาระเบีย และความร่วมมือด้านการทหารระหว่างอิสราเอลและอียิปต์ จึงไม่ได้เป็นความลับอะไรมากมายอีกต่อไป อีกยังได้เปิดเผยชัดเจนต่อความสัมพันธ์ที่ลึกลับระหว่างอาหรับ-อิสราเอล ซึ่งบ่งชี้ให้เห็นมุมมองของรัฐอาหรับต่อประเด็นปัญหาปาเลสไตน์ และวิธีที่พวกเขากำลังจัดลำดับความสำคัญความสัมพันธ์กับอิสราเอลเหนือปาเลสไตน์ เพื่อเผชิญพลวัตการเปลี่ยนแปลงในภูมิภาคอันมาจากตุรกี อิหร่าน และกาตาร์ ที่ได้พบกับความร่วมมือใหม่ จึงเป็นเหตุผลของซาอุดิอาระเบียในการเปิดเผยความสัมพันธ์ของตนกับอิสราเอล
…..
แปล/เรียบเรียงจาก https://journal-neo.org/