ยูนิเซฟเผยสงครามที่โหดร้ายในเยเมนทำให้สถานการณ์ด้านมนุษยธรรมเลวร้ายยิ่งขึ้นสำหรับแม่และเด็กในประเทศนี้ โดยมีแม่หนึ่งคนและทารกแรกเกิดหกคนเสียชีวิตทุก ๆ สองชั่วโมง เนื่องจากขาดบริการด้านสุขภาพ เดลี่ซาบะห์ สื่อตุรกีรายงาน
ในขณะที่โลกเข้าใกล้วาระครบรอบ 30 ปีของอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก (CRC) ทว่าแม่และเด็กในเยเมนยังคงตกอยู่ในความรุนแรงของสงครามที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ความขัดแย้งที่โหดร้ายยังคงมีผลต่อชีวิตของพลเรือน โดยมีแม่และทารกแรกเกิดหกคนเสียชีวิตทุก ๆ สองชั่วโมง เนื่องจากขาดแคลนบริการด้านการดูแลสุขภาพ “ยูนิเซฟ” องค์การเกี่ยวกับเด็กของสหประชาชาติกล่าวในรายงาน
ในประเทศแห่งนี้ที่ได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากวิกฤตด้านมนุษยธรรม ผู้หญิงหนึ่งใน 260 คนเสียชีวิตระหว่างการตั้งครรภ์และการคลอดบุตร และทารกแรกเกิดหนึ่งใน 37 คนเสียชีวิตในเดือนแรกของชีวิต ยูนิเซฟกล่าวและบอกว่า ปัญหานี้เกิดจากการขาดบริการทางการแพทย์เบื้องต้นซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับมารดาและการคลอดบุตร
รายงานนี้ระบุว่า “หนึ่งในผลกระทบของสงครามที่เกิดขึ้นในเยเมน คือ การทำร้ายอย่างชัดเจนต่อความเป็นแม่และความเป็นพ่อ”
รายงานตั้งข้อสังเกตว่า “มีเพียง 51 เปอร์เซ็นต์จากทั้งหมดของสถานบริการด้านสุขภาพที่ทำงานได้ย่างเต็มประสิทธิภาพ ดังนั้นสถานบริการเหล่านี้จึงประสบปัญหาการขาดแคลนยา อุปกรณ์ และบุคลากรจำนวนมาก”
ยูนิเซฟยังกล่าวอีกว่า “อัตราการคลอดที่บ้านเพิ่มขึ้นเช่นกัน เพราะครอบครัวเยเมนเป็นคนยากจนลงทุกวัน”
พลเรือนเยเมนได้รับความทุกข์ทรมานจากการขาดสารอาหารอย่างรุนแรง ความอดอยาก และการแพร่ระบาดของอหิวาตกโรค ตั้งแต่สงครามกลางเมืองของเยเมนเริ่มต้นขึ้นอย่างจริงจังด้วยการเปิดตัวแทรกแซงของซาอุดิอาระเบีย
เป็นเวลาหลายสัปดาห์ในตอนปลายปี 2017 ที่รัฐบาลซาอุดิอาระเบียได้สั่งปิดกั้นท่าเรือเยเมน โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันไม่ให้กลุ่มฮูซีนำเข้าอาวุธ เรื่องนี้มีผลกระทบอย่างรุนแรงต่อเยเมนซึ่งเดิมนำเข้าอาหาร 90 เปอร์เซ็นต์จากเส้นทางนี้
เจ้าชายโมฮัมเหม็ด บินซัลมาน มกุฎราชกุมารแห่งซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นอดีตรัฐมนตรีกลาโหม ได้นำซาอุดิอาระเบียและพันธมิตรเปิดตัวปฏิบัติการพายุขั้นแตกหัก (Operation Decisive Storm) ในเดือนมีนาคม 2015 สงครามต่อเนื่องนี้ส่งผลให้เกิดวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมที่เลวร้ายที่สุดในโลกต่อประเทศนี้ที่มีประชากรประมาณ 24 ล้านคน โดย 80% ของประชากรในเยเมนต้องการความช่วยเหลือและความคุ้มครอง
ตามรายงานององค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า มีประชาชน 10,000 คนแล้วที่เสียชีวิตนับแต่พันธมิตรใต้การนำของซาอุฯเข้าแทรกแซงในปี 2015 แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนระบุว่า ตัวเลขจริงของผู้เสียชีวิตอาจสูงกว่านี้ถึง 5 เท่า
ท่ามกลางคำเตือนของนานาชาติ ทว่าซาอุฯ ก็ยังคงได้การสนับสนุนทางทหารอย่างต่อเนื่องจากประเทศตะวันตกซึ่งรวมถึงการขายอาวุธต่อประเทศพันธมิตรที่นำโดยซาอุดิอาระเบีย ซึ่งได้กระตุ้นให้เกิดความหวั่นเกรงต่อการเพิ่มขึ้นของวิกฤตการณ์ด้านมนุษยธรรมในประเทศนี้
พันธมิตรซาอุฯ ทิ้งระเบิดสังหารเด็กๆ
จนถึงปัจจุบันมีการรายงานมากมายซึ่งได้เปิดเผยเกี่ยวกับความโหดหลายและการละเมิดสิทธิมนุษยชนหลายครั้ง
ในเดือนเมษายน กลุ่มพันธมิตรที่นำโดยซาอุดีอาระเบียได้ทิ้งระเบิดบ้านและโรงเรียนแห่งหนึ่งในย่านที่อยู่อาศัยในกรุงซานาเมืองหลวงซึ่งอยู่ภายใต้การยึดครองของฝ่ายกบฎ ทำให้มีผู้เสียชีวิต 14 ราย และบาดเจ็บ 16 คน
ผู้อำนวยการยูนิเซฟ ภูมิภาคตะวันออกกลางและแอฟริกาเหนือ นายเกียร์ต แคปเปแลเร (Geert Cappelaere) กล่าวว่า ช่วงเวลาของการระเบิดใกล้เคียงกับเวลา “อาหารกลางวัน และนักเรียนอยู่ในชั้นเรียน”
“เด็กที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสหลายคนกำลังต่อสู้เพื่อยื้อชีวิตของตน พวกเขาตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาลในซานา ส่วนใหญ่อายุต่ำกว่า 9 ปี เด็กผู้หญิงคนหนึ่งต้องทนทุกข์กับการบาดเจ็บของเธอเมื่อเช้าวานนี้” แคปเปแลเรกล่าวตามรายงานของ dpa สำนักข่าวเยอรมัน
“ มันยากที่จะจินตนาการถึงความสยองขวัญที่เด็ก ๆ เหล่านั้นประสบ – และความสยองขวัญและความรู้สึกผิดที่ผู้ปกครองอาจรู้สึกสำหรับการทำสิ่งที่พ่อแม่ทุกคนปรารถนา คือ : ส่งลูกไปโรงเรียน” เขากล่าวเสริมและว่า “การฆ่าและการทำร้ายร่างกายเด็กนั้น เป็นการละเมิดสิทธิเด็กอย่างร้ายแรง”