ถอนรากถอนโคน “ขบวนการค้ามนุษย์โรฮิงญา” ยาก แต่ ต้องทำ !!

ขอบคุณภาพ : UNHCR แคมป์ผู้ลี้ภัยชาวโรฮิงญาที่เมืองคอกซ์บาซาร์ ประเทศบังคลาเทศ

สื่อหลายสำนัก รวมทั้ง หลายคนในหลากวงการได้พูดถึงรายละเอียดความเป็นมาว่ามันเกิดอะไรขึ้นกับสิ่งที่คุณรังสิมันต์ โรมได้อภิปรายและสอบถามผู้นำรัฐบาล พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในการประชุมสภาฯ อภิปรายทั่วไปโดยไม่ลงมติเมื่อสองวันที่ผ่านมา ว่าได้ทำอะไรไปบ้างแล้วต่อเรื่องขบวนการลักลอบค้ามนุษย์ในไทย และทำไมข้าราชการตำรวจระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับการเป็นผู้รับผิดชอบสืบสวนสอบสวนขบวนการดังกล่าวต้องลี้ภัยไปยังประเทศออสเตรเลีย เนื่องจากเกรงกลัวต่ออำนาจมืดที่มองไม่เห็น หรือที่บัญญัติในกฎหมายระหว่างประเทศที่เกี่ยวกับสถานะผู้ลี้ภัยว่า “การประหัตประหาร”

ถึงแม้ว่ารัฐบาลหลายชุดได้มีความพยายามในการขุดที่ราก แต่ก็ไม่สามารถถอนที่โคนของขบวนการค้ามนุษย์ในประเทศได้ ย่อมเป็นที่รู้กันได้เป็นอย่างดีว่าขบวนการนี้เป็นเครือข่ายอิทธิพลระดับโลกและแบ่งแยกเป็นภูมิภาคคุมโดยมาเฟียเจ้าของภูมิภาคต่างๆ

ทั้งนี้ การค้นหาความจริงและหลักฐานต่างๆ คงเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่รัฐของประเทศต่างๆ องค์การระหว่างประเทศ องค์กรที่ทำหน้าที่ด้านนี้ รวมทั้ง สื่อสารมวลชนรอบโลกที่ต้องทำข้อมูลชุดความรู้ให้เป็นที่ประจักษ์ให้ได้ต่อไป

ย้อนกลับมาดูประเทศไทยที่เพิ่งเป็นการเขย่าตะกอนที่นอนก้นให้ขุ่นขึ้นอีกครั้ง เมื่อคุณรังสิมันต์ โรม สส.พรรคก้าวไกล ถามกระทู้สดเรื่องความคืบหน้าและการดำเนินการของรัฐบาลต่อเรื่องดังกล่าว พร้อมทั้งโยงถึงเรื่องที่ พลตำรวจตรี ปวีณ พงศ์สิรินทร์ อดีตรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 ผู้ที่ถูกหางเลขจากการปฏิบัติหน้าที่ในการ crackdown ขบวนการค้ามนุษย์ชาติพันธ์ุโรฮิงญา จากรัฐยะไข่ ประเทศเมียนมา และเปิดโปงธุรกิจมืดราคาแสนล้านที่มีความเชื่อมโยงในหลายระดับจากล่างสู่บน แต่มีชีวิต ลมหายใจ และศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของคนเป็นเดิมพัน จนทำให้ตัว พล.ต.ต. ปวีณฯ ต้องขอลี้ภัย ณ ประเทศออสเตรเลีย อยู่จนปัจจุบัน

บทความนี้ผมอยากให้ท่านได้มองข้ามปัญหาที่เกิดขึ้นในรัฐสภาเมื่อสองวันที่ผ่านมา ผมอยากให้ทุกท่านมองปัญหาดังกล่าวจากต้นเหตุแห่งปัญหา เพื่อหาทางแก้ไขปัญหาให้ถูกจุด นั่นก็คือ เหตุผลการเดินทางของชาวโรฮิงญาในกรณีนี้

เกิดอะไรขึ้นทำไมชาวโรฮิงญาถึงยอมเสี่ยงชีวิตทั้งนั่งเรือผ่านมหาสมุทรจากพื้นที่ไกลโพ้นจากแม่น้ำนาฟ ที่เรือประมงหลายลำต้องล่องไปรับ โดยมีหลายลำมาจากประเทศไทยลอยเรือรออยู่ที่ทะเล (ผมได้มีโอกาสเห็นกับตาตนเองขณะเรือลอยอยู่ไกลๆ ตอนปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ Cox’s Bazar ประเทศบังคลาเทศกับผู้ลี้ภัยโรฮิงญา) การล่องเรือประมงลำเล็กๆ ซึ่งแท้จริงแล้วจุดหมายปลายทางไม่ได้อยู่ภาคใต้ของไทยหรอกแต่เหตุใดถึงถูกชักลากมาขึ้นฝั่งไทยจากเกาะสอง ภูมิภาคตะนาวศรี สู่ฝั่งไทย ?? และการนั่งเรือประมงลำเล็กๆ ดังกล่าว หลายๆ ครั้งมีการยืนยันว่าไม่ได้ล่องฝ่ามหาสมุทรตลอดในน่านน้ำระหว่างประเทศ แต่หากเป็นการเลาะตะเข็บชายฝั่งของเมียนมามาเรื่อยๆ จนกระทั่งถึงเกาะสองแล้วค่อยลากออกไป !! นี่ก็เป็นอีกครั้งที่ผมได้ประสบด้วยตนเองตอนปฏิบัติหน้าที่ดูแลฝั่งตะวันออกเฉียงใต้ของพม่าทั้งหมดตอนทำหน้าที่กับสหประชาชาติ ดังนั้น คนที่เกี่ยวข้องควรหาข้อมูลมาเพิ่มเติม

โรฮิงญามาทำไม คุ้มเหรอกับการต้องเสียชีวิตระหว่างทาง คุ้มเหรอกับการเสี่ยงชีวิตลูกเด็กเล็กแดงนั่งในเรือที่อาจล่มได้ทุกนาทีเมื่อมีคลื่นลมแรง นี่ยังไม่รวมถึงกลุ่มโรฮิงญาที่เดินทางจากรัฐยะไข่มาทางรถผ่านเส้นทางสำคัญๆ ของเมียนมาที่ต้องใส่เสื้อทหารพม่ามาตลอดทางเพื่อปกปิดตนเอง และผ่านเมืองเมียวดี รัฐกระเหรี่ยง เพื่อเข้าไทยผ่าน อ.แม่สอด จ.ตาก ซึ่งตอนหลังโดนจับเยอะ เลยเปลี่ยนเส้นทางผ่านลงทางตอนใต้สู่เกาะสอง ภูมิภาคตะนาวศรีและเข้าไทยผ่าน จ.ระนอง

“คุ้มมั้ย ทั้งต้องเสี่ยงชีวิตทุกคนในครอบครัว ทั้งต้องถูกจับ และคุมขัง หลายครั้งถูกทรมาน และสุดท้ายส่งกลับสู่มือทหารเมียนมา”

คำตอบไม่ต้องไปถามชาวโรฮิงญาหรอกครับ ดูได้จากความเป็นจริง หากไม่คุ้มจะมีเรือไปรับเป็นหลายร้อยลำจากอดีตสู่ปัจจุบันเหรอ แล้วจะมีคนถูกจับเรื่อยๆ มั้ย ?? คุ้มสำหรับพวกเค้า แต่คงไม่คุ้มในสายตาคนนอก

เหตุผลการหนีออกมาชัดเจนอยู่แล้ว คือ “หนีภัยการประหัตประหารจากประเทศต้นกำเนิด” กลับไปดูค่ายผู้ลี้ภัยที่ Cox’s Bazar บังคลาเทศ ที่มีผู้ลี้ภัยโรฮิงญามากกว่าล้านคนเบียดเสียดเยียดยัดในค่ายต่างๆ เหล่านั้น

หลายท่านคงอ่านไปคิดตามว่า แล้วไง พอเรารู้ว่าเค้าหนีการประหัตประหาร แล้วมันช่วยอะไรได้เหรอ ??

คือ 1. พอเรารู้แล้วว่าเค้าหนีมาด้วยความประสงค์เค้าเองนั้น ตอนที่เค้าตัดสินใจมาไม่ใช่ถูกค้ามนุษย์นะครับ !! เค้าเข้าขบวนการลักลอบนำพา !! พอตอนถูกลากจูงเข้าฝั่งไทยแล้วถูกคุมขังอยู่ในค่ายในป่าต่างๆ เพื่อเรียกเงินทองเพิ่มเติมมากกว่าตอนที่ตกลงกันก่อนการเดินทางหากอยากไปสู่จุดหมายปลายทาง นั่นแหละเริ่มเปลี่ยนจากการลักลอบสู่การค้ามนุษย์ !!

แล้วไงต่อ ?? มันช่วยอะไรได้มั้ย ??

คือ 2. ไทยต้องยอมรับว่าขบวนการลักลอบและนำพา รวมทั้ง ขบวนการค้ามนุษย์ มันใหญ่เกินกว่าไทยประเทศเดียวจะรับมือไหว แล้วต้องพยายามหากลไกต่างๆ ทั้งระดับภูมิภาคและระหว่างประเทศเข้ามาสนับสนุนกลไกต่างๆ ที่เรามีอยู่ ให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

ต้องยอมรับว่าไทยมีความก้าวหน้าในการดำเนินการเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์มากนะครับ เราได้ลงนามในอนุสัญญาเรื่อง Transnational Organized Crime (UNTOC) ในปี พ.ศ. 2543 และลงนามในพิธีสารเรื่องการป้องกัน ปราบปราม และลงโทษผู้กระทำผิดด้านการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะผู้หญิงและเด็ก (Prevent, Suppress and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and Children) ในปี พ.ศ. 2544 แต่ก่อนที่เราจะให้สัตยาบันในกฎหมายระหว่างประเทศทั้งสองในปี พ.ศ. 2556 เราได้บัญญัติ พรบ.การป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ ในปี พ.ศ. 2551 เสียอีก รวมทั้ง เรายังใช้กลไกในระดับภูมิภาคอย่างอาเซียนโดยการตรากฎหมายร่วมเป็นอนุสัญญาอาเซียนในเรื่องการป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ระดับภูมิภาคในปี พ.ศ. 2558 ต้องขอชื่นชมอย่างใจจริงในฐานะนักกฎหมายระหว่างประเทศครับ

ก็ถูกแล้วไง ?? มีทั้งกฎหมายระหว่างประเทศ ระดับภูมิภาค และระดับประเทศ รวมทั้งหน่วยงานภาครัฐของไทยทำงานร่วมกับประเทศต่างๆ ในเรื่องดังกล่าวอย่างแข็งขัน มันน่าจะแก้ไขได้แล้ว แล้วปัญหามันอยู่ตรงไหน ??

คือ 3. ช่องโหว่ที่ผมกล่าวในเบื้องต้นครับ จากการลักลอบนำพา เปลี่ยนมาเป็นการค้ามนุษย์ มันขาดไป (นี่ผมพูดแค่ตัวบทกฎหมายและระเบียบเท่านั้นนะครับ ยังไม่รวมวิธีปฏิบัติ) ประเทศไทยเราใช้ พรบ. คนเข้าเมือง พ.ศ. 2521 ในการจัดการโดยส่วนใหญ่ต่อการลักลอบ เหมือนๆ กับการจัดการกับผู้ลี้ภัยในไทยครับ คือ จับ ขัง และรอการส่งกลับ

ทำไงต่อ ??

คือ 4. ลองหากลไกระหว่างประเทศที่มาดูแลปัญหาการลักลอบมั้ยครับ ยกระดับการจัดการปัญหาลักลอบนำพาให้สูงขึ้นมากกว่าการบริหารจัดการบริเวณชายแดนระหว่างไทยกับประเทศเพื่อนบ้านครับ อาทิ การพิจารณาปรับใช้และเป็นผู้นำของกระบวนการ Counter Migrant Smuggling ขององค์การโยกย้ายถิ่นฐานสากล (International Migration Organization-IOM) ไทยควรใช้โอกาสนี้เป็นผู้นำในระดับภูมิภาคโดยการหารือ Counter Migrant Smuggling ของ IOM ในอาเซียน และรวมถึงการหารือแบบวิสามัญร่วมกับกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านที่ได้รับผลกระทบจากขบวนการนำพาให้เร็วที่สุด

แล้วไงต่อ ?? การค้ามนุษย์ก็คงยังคงอยู่ต่อไป

คือ 5. ลองมองโอกาสออกนอกภูมิภาคครับ กลไกอะไรที่เค้าจัดการด้านนี้ และสามารถดึงทรัพยากรและความสนใจจากเวทีระหว่างประเทศโดยไทยต้องเป็นผู้นำนะครับ เพราะจะทำให้ศักดิ์ศรีของประเทศมีมากขึ้นหากเรานำ มากกว่าเป็นผู้ตาม !! ตัวอย่างครับ รายงานประจำปีของสหรัฐเรื่อง Trafflikning in Persons (TIP) ตอนนี้ไทยอยู่ใน Tier 2 Watchlist ครับ ก็ร่อมร่ออยู่นะ คือเราสามารถเปิดประเด็นเข้าร่วมอย่างจริงจังในการเป็นผู้นำด้านนี้โดยดึงศักยภาพประเทศมหาอำนาจมาจัดการโดยอยู่ภายใต้ข้อตกลงทวิภาคีที่ได้ต้อง monitor การจัดการภายในและบริเวณรอบข้างให้ได้ ผลักไทยให้อยู่ใน Tier 1 ของ TIP report โดยใช้ศักยภาพของประเทศมหาอำนาจ และความร่วมมือระหว่างประเทศให้มากที่สุด โดยไทยบริหารจัดการ

ผมไม่ได้บอกว่าควร “ชักน้ำเข้าลึก ชักศึกเข้าบ้าน” โดยการนำต่างประเทศเข้ามาในไทยในการบริหารจัดการและแก้ไขปัญหาดังกล่าว แต่ปัญหาดังกล่าวมันใหญ่ (แต่ไม่ลึกลับหรอกครับ) กว่าประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือแม้กระทั่งการรวมกลุ่มกันอย่างอาเซียนจะจัดการได้ เราควรดึงศักยภาพของประเทศมหาอำนาจมาช่วยจัดการโดยมีข้อตกลงว่าไทยจะบริหารจัดการเรื่องภายในประเทศโดยไม่มีการแทรกแซงจากมหาอำนาจ เรื่องนี้เป็นวาระแห่งโลก ไม่มีใครอยากมาหาผลประโยชน์จากเรื่องมนุษยธรรมหรอกครับ แต่เราต้องบริหารจัดการเรื่องมนุษยธรรมให้ได้อย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความเป็นผู้นำของไทยในเวทีระหว่างประเทศให้ได้ต่อไป