ขณะที่ประชาชน คนไทยกำลังลุ้นสุดขั้วกับโฉมหน้าของรัฐบาล คสช.ใหม่ที่คาดว่าจะเข้ามาปฏิรูปประเทศขนานใหญ่ และตั้งความหวังเอาไว้สูงลิ่วกับโฉมหน้าของรัฐบาล ที่จะเข้ามาว่าจะไม่ทำให้ประชาชน “ผิดหวัง” หรือเสียของ
ยิ่งในส่วนของ “นโยบายการปฏิรูปพลังงาน” ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ประกาศเป็นวาระแห่งชาติที่จะดำเนินการควบคู่ไปกับการปฏิรูปประเทศ และกำลังเดินมาถึง “โค้งสุดท้าย” ที่จะมีการขับเคลื่อนอย่างเป็นจริงเป็นจังในห้วง 1-+2 เดือนจากนี้ ทุกฝ่ายต่างก็ลุ้นระทึก ไส้ในแผนปรับโครงสร้างพลังงานจะออกมาเป็นอย่างไร?
เป็นไปตามข้อเรียกร้องของนักวิชาการด้านพลังงาน หรือเอนเอียงไปตามแรงบีบเค้นของเครือข่ายเอ็นจีโอทั้งหลายกันแน่ !
แต่ที่ทำเอาวงการพลังงาน “อึ้งกิมกี่” เป็นงงไปกับ “รสนา โตสิตระกูล” อดีตสมาชิกวุฒิสภาตกงานหรือที่รู้กันว่าคือ “เอ็นจีโอตัวแม่” ที่ออกมาฟ้อนเงี้ยวถล่มบริษัทปตท.ล่าสุดว่า เหตุใดกิจการที่มีรายได้มหาศาลกว่า 2.89 ล้านล้านบาท แต่กลับมีกำไรต่ำติดดินแค่แสนล้านบาทเท่านั้น เป็นเพราะหน่วยธุรกิจ (Business Unit : BU) ของปตท.ไร้ประสิทธิภาพหรือไม่ อย่างไร? ก่อนที่อดีต สว.จะกระทุ้ง คสช.ให้เร่งปลดล็อคคืนความสุขแก่ประชาชน โดยยกเลิกกองทุนน้ำมัน เลิกอิงราคาน้ำมันสำเร็จรูปสิงคโปร์และหยุดการผูกขาดของปตท.ลง
ทั้งที่ ก่อนหน้านี้เห็นเอ็นจีโอตัวแม่ออกโรงถล่มปตท.มาโดยตลอดว่า ผูกขาดธุรกิจน้ำมันตั้งแต่ต้นน้ำ (Upstream) ไปยันปลายน้ำ (Downstream) ฟันกำรี้กำไร “พุงปลิ้น” ท่ามกลางความเดือดร้อนของประชาชน ถึงขนาดเรียกร้องให้สังคมร่วมกันทวงคืน ปตท.กลับมาเป็นของรัฐ นำกิจการออกจากตลาดหุ้นและลุ้น คสช. ตั้งบริษัทน้ำมันแห่งชาติขึ้นมาแข่งขันกับปตท. เพื่อพิทักษ์ผลประโยชน์ประชาชนโดยตรง
แต่มาวันนี้กลับ ตาลปัตรกลับมางัดข้อมูลใหม่ออกมาถล่ม ปตท.ว่าไร้ประสิทธิภาพทำกำรี้กำไรจากการดำเนินงานต่ำติดดินไปซะงั้น ทั้งที่จะว่าไปการที่ปตท.มีกำไรต่ำติดดินดังกล่าว ก็น่าจะเป็นเครื่องสะท้อนได้เป็นอย่างดีว่า การดำเนินธุรกิจของบริษัทพลังงานแห่งชาติ ปตท.นี้ ไม่ได้มีการผูกขาด หรือเอารัดเอาเปรียบประชาชนผู้บริโภคแต่อย่างใด
หาไม่แล้วกำไรคงไม่ต่ำติดดิน แต่น่าจะทะลักล้นไปมากกว่านี้เป็นสิบเท่า!
อีกเรื่องที่ “เอ็นจีโอตัวแม่” ออกโรงเรียกร้องมาโดยตลอด คือการเรียกร้องให้ คสช. “ปลดล็อค” คืนความสุขให้ประชาชนคนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูก โดยเฉพาะ “การ เรียกร้องให้ประเทศไทยกลับไปใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 2 เหมือนเพื่อนบ้านในภูมิภาคทั้งมาเลเซียและสิงคโปร์ ที่ต่างก็ใช้น้ำมันคุณภาพยูโร 2 เท่านั้น”
โดยระบุว่า ที่ผ่านมาประชาชนคนไทยถูกเอารัดเอาเปรียบจากนโยบายปรับปรุงคุณภาพน้ำมันให้ เป็นมาตรฐานยูโร 4 ที่อ้างว่าเพื่อรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อม ทั้งที่เพื่อนบ้านสิงคโปร์ หรือมาเลย์ที่มีโรงกลั่นน้ำมันแบบไทยเราก็ยังขายน้ำมันคุณภาพมาตรฐานยูโร 2 ที่มีกำมะถันไม่เกิน 500 ppm เท่านั้น จึงเป็นการกำหนดมาตรฐานแบบเสียเปล่าที่ทำให้ประชาชนต้องจ่ายแพงไปโดยไม่ จำเป็น และน่าจะเป็นการกำหนดนโยบายเพื่อเป้าหมายกีดกันทางการค้าเอื้อให้ปตท.ผูกขาด การนำเข้าน้ำมันจากต่างประเทศเสียมากกว่า
ก็ไม่เข้าใจจุดยืนเอ็น จีโอตัวแม่ อยากจะพาประเทศไทยถอยหลังลงคลองหรืออย่างไร? เพราะเราเดินหน้านโยบายกำหนดมาตรฐานการกลั่นและใช้น้ำมันมาตรฐาน “ยูโร4” นี้มากว่า 20 ปีแล้ว หากจะถามว่ามันคือสาเหตุที่ทำให้คนไทยต้องใช้น้ำมันแพงขึ้นหรือไม่ ?
คำตอบนั้นทุกฝ่ายรู้แก่ใจกันดีว่าไม่ใช่เลย…
เพราะราคาน้ำมันบ้าน เราเพิ่งจะมาทะยานเอาในช่วงไม่กี่ปีมานี้ จากราคาน้ำมันในสตลาดโลกที่เคยทะยานขึ้นไปถึง 120-150 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล ทั้งยังเป็นผลพวงมาจากการจัดเก็บภาษีสรรพสามิตน้ำมันและเก็บเงินเข้ากองทุน น้ำมันเชื้อเพลิง เพื่อส่งเสริมพลังงานทางเลือกอื่น ๆ ส่งเสริมการใช้เอทานอลที่เป็นผลผลิตทางการเกษตร เพื่อช่วยเหลือเกษตรกรคือส่งเสริมการใช้น้ำมันอี 20 อี 85 หรือไบโอดีเซลทั้งหลาย
แน่นอนหากรัฐบาลสั่ง ยุบกองทุนน้ำมันลงไป ราคาน้ำมันอาจปรับลดลงได้อีก แต่ก็จะทำให้พลังงานทดแทนเผชิญกับความไม่แน่นอนจ่อยืนบนชะง่อนผาจ่อจะพังพาบ ลงไปด้วย เอาแค่นโยบายไม้หลักปักเลนที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ก็ทำเอาพลังงานทดแทน พลังงานทางเลือกต่าง ๆ หายใจไม่ทั่วท้องอยู่แล้ว
ที่สำคัญทุกวันนี้ ประชาชนคนไทยต้องเผชิญวิกฤตปัญหามลพิษรอบด้านสาหัสสากรรจ์กันอยู่แล้ว นี่ยังจะมาซ้ำเติมด้วยการนำพาประเทศไทยให้หวนกลับไปใช้น้ำมันมาตรฐานยูโร 2 ให้ประชาชนคนไทยต้องเผชิญกับภัยจากสารก่อมะเร็งต่าง ๆ กันไปอีกหรือ? หรือจะให้ประชาชนคนไทยคาดหวังอะไรกับหน่วยงานตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ ตรวจสอบคุณภาพไอเสียทั้งหลายแหล่ที่ตั้งด่านหรือที่ผุดขึ้นมาเป็นดอกเห็ด เพื่อตรวจสอบคุณภาพรถยนต์ก่อนต่อทะเบียนกันได้หรือ แต่ละหน่วยงานแต่ละองค์กรมีประสิทธิภาพในการตราตรากันค่าไหนใช่ทุกฝ่ายจะ ไม่รู้
แต่อย่างน้อยเรายัง เบาใจได้ที่ยังมีน้ำมันคุณภาพมาตรฐานโลกที่ไม่ซ้ำเติมให้ปัญหามลพิษทวีความ รุนแรงจนเพิ่มความเสี่ยงต่อการรับสารก่อมะเร็งให้ผู้คนได้สบายใจ
สอดคล้องกับ ดร.มนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญพลังงานและกลุ่มปฏิรูปพลังงานเพื่อความยั่งยืน ได้ออกโรงตีแสกหน้าข้อเรียกร้องของ “เอ็นจีโอตัวแม่” ว่าการกลับไปใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 2 นอกจากจะเป็นการนำพาประเทศชาติถอยหลังลงคลองแล้ว ยังเป็นการซ้ำเติมสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม ส่งผลต่อเนื่องไปถึงสุขภาพของประชาชนคนไทยซ้ำหนักเข้าไปอีก
“ทุกประเทศทั่วโลก กำลังเพิ่มมาตรฐานน้ำมันขึ้น จากมาตรฐานน้ำมันยูโร 2 ที่ใช้กันอยู่ก็จะเลิกใช้กันแล้ว อย่างประเทศในแถบอาเซียน ส่วนใหญ่ก็จะเพิ่มเป็นยูโร 4 – 5 กันทั้งนั้น อย่างมาเลเซียก็จะเพิ่มเป็นยูโร 4 สิงคโปร์ก็จะเพิ่มเป็นยูโร 4 และต่อด้วยยูโร 5 ในเร็วๆนี้เช่นกัน นั่นหมายความว่าต่อไปในอนาคตจะไม่มีการผลิตน้ำมันมาตรฐานยูโร 2 ขายกันอีกแล้ว แล้วประเทศไทยจะถอยเข้าคลองกันทำไม นอกจากนั้น ยังทำให้คนไทยมีสุขภาพเลวร้ายลงอีก เพราะการหันไปใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 2 จะทำเกิดโรคภัยไข้เจ็บเพิ่มมากขึ้น และเป็นการซ้ำเติมสภาพธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมให้เลวร้ายหนัก อีกทั้งประเทศไทยเป็นประเทศที่มีการใช้รถเป็นจำนวนมาก ก็จะเพิ่มมลพิษมลภาวะให้สภาพอากาศเลวลง ส่งผลต่อเนื่องถึงการที่ต้องเสียค่ารักษาพยาบาลด้านสุขภาพนับหมื่นนับแสน ล้านบาทกันทำไม”
นอกจากนี้ นักวิชาการอิสระผู้เชี่ยวชาญพลังงาน กล่าวเสริมอีกว่าโรงกลั่นน้ำมันในประเทศไทยทั้ง 6 โรง ได้ลงทุนด้านคุณภาพการกลั่นมาตรฐานน้ำมันยูโร 4 กันหมดแล้ว ว่ากันว่าลงทุนไปแล้วนับหมื่นล้าน การกลับไปใช้มาตรฐานยูโร 2 เม็ดเงินมหาศาลที่เขาลงทุนแล้ว จะให้เขาทำอย่างไง การกลับไปใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 2 ไม่ได้ทำให้น้ำมันราคาถูกลงมากมาย ถูกลงอย่างมากก็แค่ 50 สตางค์/ลิตรเท่านั้นเอง ไม่ได้ถูกเป็นบาทอย่างที่พูดๆกัน ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะต้องกลับไปใช้มาตรฐานน้ำมันยูโร 2 ไหนจะต้องเสียค่ารักษาพยาบาลของประชาชนคนไทยนับหมื่นนับแสนล้าน ไม่ใช่เป็นการปลดล็อคเพื่อคืนความสุขให้ประชาชนคนไทยได้ใช้น้ำมันราคาถูก หรอก แต่เป็นการคืนความทุกข์ให้กับประชาชนคนไทยต่างหาก
แนวทางการ ปฏิรูปพลังงานไทยทั้งระบบที่เดินมาถูกทางแล้ว ทว่าหากยังเสียเวลากับข้อเรียกร้องของ “กลุ่มเอ็นจีโอ”ที่ไร้จุดยืน ก็นับวันยิ่งบิดเบี้ยวผิดรูปผิดร่าง บากหน้าเข้าสู่ซะง่อนผาแห่งความล้มเหลว และนำพาประเทศชาติ “ถอยหลังลงคลอง”เข้าไปทุกที!