เวทีดีเบตเดือด! ทรัมป์ปะทะแฮร์ริส แข่งกันชิงบทบาท “มิตรแท้ของอิสราเอล”

ในเวทีดีเบตประธานาธิบดีครั้งแรกของสหรัฐอเมริกาที่มีขึ้นเมื่อวันอังคาร 10 ต.ค. ที่ผ่านมา โดนัลด์ ทรัมป์ อดีตประธานาธิบดีและผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรครีพับลิกัน ได้กล่าวหา คามาลา แฮร์ริส รองประธานาธิบดีสหรัฐและผู้สมัครชิงตำแหน่งจากพรรคเดโมแครต ว่ามีจุดยืนที่ “ต่อต้านอิสราเอล” ซึ่งกลายเป็นประเด็นร้อนที่ดึงความสนใจอย่างมาก

“เธอเกลียดอิสราเอล!” ทรัมป์กล่าวหาพลางทุ่มน้ำหนักความคิดให้ผู้ฟัง พร้อมระบุว่า “หากแฮร์ริสเป็นประธานาธิบดี อิสราเอลจะไม่มีอยู่ภายในสองปีจากนี้!”

“เธอไม่ยอมพบกับ (นายกรัฐมนตรีอิสราเอล เบนจามิน) เนทันยาฮู เลยด้วยซ้ำ เมื่อเขาไปรัฐสภาเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ที่สำคัญมาก” ทรัมป์กล่าวต่อ

คำพูดของทรัมป์เป็นภาพสะท้อนที่เห็นชัดถึงการเล่นการเมืองแบบแข็งกร้าว ซึ่งมุ่งปลุกระดมความรู้สึกของกลุ่มผู้สนับสนุนอิสราเอล และย้ำเตือนถึงความ “เป็นมิตรแท้” ที่เขามีต่ออิสราเอล

แฮร์ริสไม่ปล่อยให้ข้อกล่าวหานี้ผ่านไปอย่างเงียบงัน เธอตอบโต้โดยชี้แจงว่า “มันไม่จริงอย่างสิ้นเชิง”

เธอย้ำถึงการสนับสนุนที่เธอมีต่ออิสราเอลมาตลอดชีวิต

“ฉันอุทิศอาชีพการงานและชีวิตของฉันให้กับอิสราเอลและประชาชนชาวอิสราเอลมาโดยตลอด” เธอกล่าว

คำพูดของทรัมป์ที่ว่า “เธอจะไม่พบกับเบนจามิน เนทันยาฮู” และการกล่าวหาว่าแฮร์ริส “เกลียดทั้งชาวยิวและอาหรับ” แสดงให้เห็นว่าทรัมป์ใช้การประโคมข่าวเพื่อดึงดูดความสนใจของกลุ่มผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่มีแนวคิดชัดเจนเรื่องอิสราเอล โดยอ้างว่าการมีแฮร์ริสเป็นผู้นำอาจจะทำให้อิสราเอลตกอยู่ในอันตราย

ในขณะที่แฮร์ริสยืนยันว่าสิทธิของอิสราเอลในการป้องกันตนเองเป็นสิ่งที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แต่เธอยังพูดถึงการเสียชีวิตของพลเรือนชาวปาเลสไตน์จำนวนมาก ซึ่งรวมถึงเด็กและผู้หญิง

เธอชี้ว่า สงครามครั้งนี้ต้องจบลงโดยทันที และเสนอแนวทางที่ต้องการการหยุดยิงและการเจรจาเพื่อให้ตัวประกันได้รับการปลดปล่อย นอกจากนี้ เธอยังย้ำถึงการสนับสนุนแนวคิดการแก้ไขปัญหาแบบ “สองรัฐ” ซึ่งเป็นข้อเสนอที่เน้นการสร้างสันติภาพและเสถียรภาพระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์ในระยะยาว

การดีเบตนี้ชวนให้เราคิดอย่างลึกซึ้งว่า การแข่งขันเพื่อสนับสนุนอิสราเอลนั้นเป็นเรื่องของความจริงใจหรือเพียงแค่กลยุทธ์ทางการเมือง? ทั้งทรัมป์และแฮร์ริสต่างใช้ประเด็นนี้เป็นเครื่องมือในการดึงคะแนนเสียง แต่มันสะท้อนถึงการมองความซับซ้อนในความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและปาเลสไตน์อย่างแค่ผิวเผินหรือไม่?

สิ่งที่เกิดขึ้นในดีเบตครั้งนี้ทำให้เห็นว่า ทรัมป์ใช้การโจมตีส่วนตัวเพื่อปลุกกระแสความกลัว ในขณะที่แฮร์ริสพยายามรักษาท่าทีที่มั่นคงและแสดงความเข้าใจต่อทุกฝ่าย

แต่คำถามที่แท้จริงที่ควรถามคือว่า สหรัฐจะมีบทบาทอย่างไรในการส่งเสริมสันติภาพในตะวันออกกลางได้จริง หรือเป็นเพียงการสาดโคลนกันในเวทีการเมือง???