โรคแพนิค (Panic Disorder) เป็นหนึ่งในกลุ่มของโรควิตกกังวลที่พบได้บ่อย และมีลักษณะเฉพาะคือ “อาการตื่นตระหนกเฉียบพลัน” ที่มักเกิดขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ใจเต้นแรง หายใจไม่ออก เหงื่อแตก มือชา ตัวสั่น หรือแม้แต่รู้สึกเหมือนจะตาย ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วร่างกายไม่ได้อยู่ในภาวะอันตรายแต่อย่างใด แต่ที่น่าหนักใจยิ่งกว่าคือ “ความกลัวว่าจะกำเริบอีก” จนทำให้ผู้ป่วยวนอยู่กับความคิดที่ว่า “ถ้าแพนิคอีกจะทำยังไง?” ซึ่งความคิดแบบนี้เอง ที่กลับกลายเป็นตัวเร่งให้อาการโรคแพนิคยิ่งรุนแรงมากขึ้นกว่าเดิม
คำถามสำคัญคือ ถ้าความคิดยิ่งทำให้เรากลัว แล้วเราจะหลุดพ้นจากวงจรอาการโรคแพนิคนี้ได้อย่างไร ?
เข้าใจธรรมชาติของโรคแพนิคก่อน
ก่อนอื่นต้องแยกให้ออกว่า “โรคแพนิค” ไม่ใช่ความอ่อนแอของจิตใจ ไม่ใช่การคิดมาก หรือดราม่าเกินเหตุ แต่เป็นภาวะที่สมองสั่งให้ร่างกายตอบสนองเหมือนกำลังเจออันตราย ทั้งที่จริงแล้วไม่มีภัยคุกคามอยู่ตรงหน้า นี่คือความผิดปกติของระบบประมวลผลอารมณ์ในสมอง เช่น อะมิกดาลา (Amygdala) และระบบประสาทอัตโนมัติที่ทำงานไวเกินเหตุ
เมื่อคุณรู้สึกใจสั่น หายใจเร็ว เหมือนจะตาย สมองจะบันทึกเหตุการณ์นั้นว่า “นี่คือเหตุการณ์ที่ต้องระวัง” พอคุณเริ่มคิดถึงอาการโรคแพนิคที่เคยเกิดขึ้น สมองจะสั่งการให้ร่างกายตอบสนองแบบเดิมอีกครั้ง วงจรนี้เรียกว่า Panic Loop ซึ่งยิ่งเราพยายามหนี หรือกดมันไว้ มันจะยิ่งย้อนกลับมาแรงกว่าเดิม
หยุดวงจรแพนิคด้วยการ “ไม่หนี”
สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่การพยายาม ไม่ให้คิดถึงมัน เพราะนั่นเป็นไปไม่ได้ และยิ่งทำให้จิตใจยิ่งฟุ้งซ่าน แต่เป็นการ “เปลี่ยนความสัมพันธ์ของคุณกับความคิดและอาการโรคแพนิค”
แนวทางการรักษาที่ใช้ได้ผลคือ CBT (Cognitive Behavioral Therapy) หรือพฤติกรรมบำบัดเชิงความคิด
CBT จะสอนให้คุณเรียนรู้ว่า
- อาการโรคแพนิคไม่ใช่อันตราย
- ความรู้สึก “กลัวจะเกิดอีก” ไม่ใช่สิ่งที่ต้องเชื่อเสมอไป
- ยิ่งคุณยอมให้ตัวเอง “อยู่กับมัน” อย่างสงบ โดยไม่ตื่นตระหนก อาการโรคแพนิคจะค่อย ๆ ลดลงเอง
วิธีง่าย ๆ เช่น การตั้งชื่อให้อาการ เช่น “อ้าว…เจ้าแพนิคมาอีกแล้วเหรอ” แล้วหายใจลึก ๆ ช้า ๆ พร้อมบอกตัวเองว่า “มันมา เดี๋ยวมันก็ไป” นี่คือการฝึกให้สมองเรียนรู้ใหม่ว่า แพนิคไม่ใช่สิ่งน่ากลัวอีกต่อไป
เทคนิค Grounding ดึงใจให้อยู่กับปัจจุบัน
อีกหนึ่งวิธีที่ได้ผลคือ Grounding Technique หรือเทคนิคการดึงสติกลับมาอยู่กับ “ปัจจุบัน” เพื่อลดความคิดฟุ้งซ่าน เช่น:
- มองหาของรอบตัว 5 อย่าง
- ฟังเสียงรอบข้าง 4 อย่าง
- สัมผัสสิ่งของ 3 อย่าง
- สูดกลิ่นที่ชัดเจน 2 กลิ่น
- ลองลิ้มรส 1 รสชาติ
เทคนิคนี้ทำให้สมองเปลี่ยนโฟกัสจาก “ความคิด” มาสู่ “ประสบการณ์ตรง” ช่วยลดความกลัวในใจได้อย่างมาก
การดูแลระยะยาว: ยา + การปรับวิถีชีวิต
สำหรับบางคน แพทย์อาจพิจารณาจ่ายยากลุ่ม SSRIs หรือยาคลายกังวลระยะสั้น เพื่อช่วยให้สมองกลับมาทำงานสมดุลในช่วงแรก แต่ยาไม่ใช่ทางออกเดียว การดูแลสุขภาพจิตในภาพรวม เช่น การนอนให้เพียงพอ, ออกกำลังกายสม่ำเสมอ, หลีกเลี่ยงคาเฟอีน และฝึกผ่อนคลายอย่างโยคะหรือสมาธิ ล้วนช่วยลดโอกาสกำเริบของโรคในระยะยาว
ควบคุมโรคแพนิคได้ ไม่ใช่ด้วยการ “หยุดคิด” แต่คือ “ยอมรับ” ว่าความคิดคือเพียงสิ่งที่ลอยมาแล้วลอยไป
อาการโรคแพนิคอาจเป็นอะไรที่น่ากลัวในตอนแรก แต่คุณไม่จำเป็นต้องวิ่งหนีมันอีกต่อไป ถ้าคุณเข้าใจธรรมชาติของมัน และฝึกใจให้ยอมรับว่ามันเป็นเพียงคลื่นลูกหนึ่ง ที่ผ่านมาและจะผ่านไปเสมอ คุณจะพบว่า “พลังแห่งการควบคุม” ไม่ได้อยู่ที่อาการ แต่อยู่ที่ “ท่าทีของคุณต่อมัน” ต่างหาก.