เมื่อทรัมป์เมินอิสราเอล ชาติอ่าวอาหรับเดินหน้าเร่งล็อบบี้ข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่าน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯ (ซ้าย) และชีค โมฮัมเหม็ด บิน ซายิด อัล นายาน เดินทางมาถึงพระราชวังกาสร์ อัล วาตัน (พระราชวังแห่งชาติ) ในกรุงอาบูดาบี เมื่อวันที่ 15 พฤษภาคม 2568 (เบรนแดน สเมียลอฟสกี/เอเอฟพี) via MEE

เมื่อวันพฤหัสบดีที่ผ่านมา ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ แถลงอย่างชัดเจนที่สุดถึงความคืบหน้าในการเจรจาทางอ้อมกับอิหร่าน โดยมีเป้าหมายเพื่อบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ฉบับใหม่

“เรากำลังอยู่ในกระบวนการเจรจาที่จริงจังมากกับอิหร่าน เพื่อสันติภาพในระยะยาว” ทรัมป์กล่าวระหว่างเยือนกรุงโดฮา ซึ่งเป็นจุดที่สองของการเดินทางเยือนกลุ่มประเทศอ่าวเปอร์เซีย

“เรากำลังเข้าใกล้ข้อตกลงมากขึ้นแล้ว” เขาเสริม

ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ซึ่งเป็นมาตรฐานน้ำมันในตลาดโลก ร่วงลงกว่า 2% มาอยู่ที่ 64.62 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล หลังมีความเป็นไปได้ว่าน้ำมันจากอิหร่านที่ถูกคว่ำบาตรอาจกลับเข้าสู่ตลาดได้

แม้ในช่วงแรกหลายฝ่ายคาดว่าทรัมป์จะถูกซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และกาตาร์ล็อบบี้แบบปิดลับให้สนับสนุนข้อตกลงนิวเคลียร์ แต่ผลลัพธ์กลับไปไกลกว่านั้น ผู้นำรัฐอ่าวบางประเทศถึงกับประกาศสนับสนุนการเจรจาอย่างเปิดเผย ขณะที่ทรัมป์เองก็ยกเครดิตให้กับเจ้าภาพที่โน้มน้าวให้เขาเดินหน้าทางการทูต แทนการใช้ปฏิบัติการทหารเชิงรุกตามข้อเสนอจากอิสราเอล

“ผู้นำชาติอ่าวโดยรวมต่างสนับสนุนการเจรจาระหว่างรัฐบาลทรัมป์กับอิหร่าน เพราะไม่ต้องการตกเป็นเหยื่อของความขัดแย้งระดับภูมิภาคหากการเจรจาล้มเหลว แม้การสนับสนุนนี้จะไม่การันตีความสำเร็จในโต๊ะเจรจา แต่ก็เป็นจุดเปลี่ยนจากการพูดคุยในปี 2015” อาลี วาเอซ ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านของ International Crisis Group ให้สัมภาษณ์กับ Middle East Eye

ในการกล่าวที่โดฮา ทรัมป์ยังอ้างถึงความกังวลของกาตาร์มานานว่าหากมีการโจมตีไซต์นิวเคลียร์ในอิหร่าน อาจนำไปสู่หายนะด้านสิ่งแวดล้อม โดยเฉพาะความเสี่ยงต่อระบบน้ำดื่มของภูมิภาค

“เราจะไม่ก่อให้เกิดฝุ่นกัมมันตรังสีในอิหร่าน” ทรัมป์ยืนยัน

“ผมคิดว่าเรากำลังเข้าใกล้ข้อตกลง โดยไม่ต้องหันไปใช้ทางเลือกนั้น” เขากล่าวเสริม หมายถึงปฏิบัติการทางทหารที่ถูกเสนอโดยอิสราเอลและสายเหยี่ยวภายในสหรัฐฯ เอง

ทรัมป์ยกเครดิตให้กาตาร์ผลักดันดีลนิวเคลียร์อิหร่าน

ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ กล่าวเมื่อวันพฤหัสบดีว่า “อิหร่านควรกล่าว ‘ขอบคุณอย่างมาก’ ต่อกาตาร์” ที่ช่วยผลักดันให้เขาหันมาเลือกข้อตกลงนิวเคลียร์แทนการใช้กำลังทางทหาร

“อิหร่านโชคดีมากที่มีเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ เพราะเขากำลังต่อสู้เพื่อพวกเขาอย่างแท้จริง” ทรัมป์กล่าว โดยชี้ถึงความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างสองประเทศซึ่งแบ่งปันแหล่งก๊าซธรรมชาติที่ใหญ่ที่สุดในโลก

ทรัมป์เดินทางถึงกรุงโดฮาหลังจากได้รับการต้อนรับอย่างหรูหราในซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเขาเปิดตัวข้อตกลงขายอาวุธและเทคโนโลยี AI มูลค่ามหาศาล โดยมกุฎราชกุมาร โมฮัมเหม็ด บิน ซัลมาน ถึงกับขับรถกอล์ฟพาเขาชมสถานที่ด้วยตนเอง

ในการกล่าวที่กรุงริยาด ทรัมป์ยกย่องชาติราชาธิปไตยอ่าวอาหรับว่าเป็นตัวอย่างของ “รัฐที่ประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องพึ่งการแทรกแซงของตะวันตก” ซึ่งถือเป็นการโจมตีทางอ้อมต่อกลุ่มในสหรัฐฯ ที่สนับสนุนมาตรการคว่ำบาตรหรือการโจมตีอิหร่าน

การเยือนดังกล่าวเน้นย้ำว่า ซาอุดีอาระเบียกำลังก้าวขึ้นเป็นศูนย์กลางอำนาจระดับภูมิภาค และความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับทรัมป์กำลังสร้างแรงสะเทือนในวงกว้าง

ทรัมป์ยังเปิดเผยว่า มกุฎราชกุมารซาอุฯ ร่วมกับประธานาธิบดีตุรกี เรเซป ตอยยิบ แอร์โดอาน คือผู้โน้มน้าวให้เขายกเลิกมาตรการคว่ำบาตรทั้งหมดต่อซีเรีย แม้รายงานข่าวระบุว่า อิสราเอลได้ล็อบบี้หนักเพื่อขัดขวางการเคลื่อนไหวนี้

ในระหว่างการพบปะร่วมกับประธานาธิบดีซีเรีย อาเหม็ด อัล-ชารา และมกุฎราชกุมารซาอุฯ ทรัมป์ย้ำว่า ชาติอ่าวกำลังรวมตัวกันอยู่เบื้องหลังแนวทางเจรจากับอิหร่าน

เจ้าชายไฟซอล บิน ฟาร์ฮาน รัฐมนตรีต่างประเทศซาอุฯ แถลงเมื่อวันพุธว่า ราชอาณาจักร “สนับสนุนอย่างเต็มที่” ต่อการเจรจานิวเคลียร์ โดยกล่าวว่า

“หากสหรัฐฯ และอิหร่านสามารถบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์ได้สำเร็จ มันจะช่วยลดความเสี่ยงครั้งใหญ่ในภูมิภาค และเปิดช่องให้เกิดความร่วมมือ การรวมกลุ่มทางภูมิภาค การค้า และการลงทุนที่มากยิ่งขึ้น”

คำกล่าวดังกล่าวยังสอดคล้องกับแนวทาง “ธุรกิจก่อน” ของทรัมป์ที่เน้นผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจเป็นหลัก

การที่ซาอุดีอาระเบียแสดงจุดยืนสนับสนุนอย่างเปิดเผยต่อข้อตกลงนิวเคลียร์ ถือเป็นภาพสะท้อนถึงความเปลี่ยนแปลงอย่างลึกซึ้งของตะวันออกกลางในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

แนวคิดใหม่: คอนโซร์เทียมยูเรเนียมภูมิภาค

เมื่อต้นเดือนที่ผ่านมา Amwaj Media รายงานว่า ทีมเจรจาอิหร่านได้นำเสนอแนวคิดการจัดตั้ง “คอนโซร์เทียมเสริมสมรรถนะยูเรเนียมระดับภูมิภาค” เพื่อแก้ข้อกังวลของสหรัฐฯ โดยเสนอให้ซาอุฯ และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์เข้ามาร่วมช่วยสร้างโรงงานนิวเคลียร์ใหม่ในอิหร่าน

รายงานระบุว่า UAE แสดงความพร้อมที่จะเข้าร่วม แต่ซาอุฯ ยังมีท่าทีระมัดระวังมากกว่า

อาลี วาเอซ ผู้อำนวยการโครงการอิหร่านของ International Crisis Group กล่าวว่า แนวคิดนี้ “มีแง่บวกบางประการ แต่ก็เต็มไปด้วยความท้าทายทางการทูตและเทคนิคที่สำคัญ”

“อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ที่ดีขึ้นระหว่างอิหร่านกับประเทศอย่างซาอุฯ และ UAE กำลังทำให้แนวทางการควบคุมอาวุธในระดับภูมิภาคมีโอกาสเป็นจริงมากกว่าที่เคยเป็นในอดีต” เขากล่าว

ทรัมป์จะฝ่าด่านสายเหยี่ยวในประเทศได้หรือไม่?

รัฐบาลโอบามาคือผู้ลงนามในข้อตกลงนิวเคลียร์กับอิหร่านในปี 2015 โดยในขณะนั้น ซาอุดีอาระเบีย สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และอิสราเอล ต่างก็คัดค้านข้อตกลงดังกล่าวอย่างเป็นเอกฉันท์ และต่อมาทั้งสามประเทศก็สนับสนุนการตัดสินใจของโดนัลด์ ทรัมป์ในปี 2018 ที่ถอนสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงแต่เพียงฝ่ายเดียว พร้อมเดินหน้าคว่ำบาตรอิหร่านภายใต้นโยบาย “แรงกดดันสูงสุด”

ในช่วงเวลานั้น บรรดาชาติอ่าวก็ยังแตกแยกกันเองจากท่าทีที่แตกต่างต่อกระแสอาหรับสปริง ซาอุฯ และ UAE กล่าวหาว่ากาตาร์ให้การสนับสนุนขบวนการภราดรภาพมุสลิม (Muslim Brotherhood) ซึ่งทั้งสองรัฐมองว่าเป็นภัยคุกคามต่อการปกครองของตน จึงร่วมกันปิดล้อมทางการทูตและเศรษฐกิจกาตาร์ โดยได้รับการหนุนหลังจากทรัมป์

อย่างไรก็ตาม ในช่วงหลัง ผู้นำกลุ่มประเทศอ่าวเริ่มฟื้นฟูความสัมพันธ์ แม้สายสัมพันธ์ระหว่าง UAE กับกาตาร์ยังเปราะบาง แต่ความสัมพันธ์ระหว่างกาตาร์กับซาอุฯ กลับแน่นแฟ้นขึ้น โดยทรัมป์เองก็กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างเปิดเผย

ในการกล่าวกับเจ้าผู้ครองรัฐกาตาร์ เชคตะมีม บิน ฮามัด อาล ธานี ทรัมป์กล่าวอย่างภูมิใจว่าเขาเพิ่งเดินทางมาจากการพบกับมกุฎราชกุมารซาอุฯ “เพื่อนของคุณ”

“พวกคุณดูคล้ายกันมาก—ทั้งสูง หล่อ และฉลาด… เป็นเรื่องดีที่ได้เห็นความสัมพันธ์ในตะวันออกกลางกำลังเป็นรูปเป็นร่าง” เขาเสริมด้วยรอยยิ้ม

แม้จะได้รับแรงสนับสนุนจากชาติอ่าว แต่ผู้เชี่ยวชาญเตือนว่า การบรรลุข้อตกลงกับอิหร่านจะไม่ใช่เรื่องง่าย

รัฐมนตรีต่างประเทศอิหร่าน อับบาส อารักชี กล่าวเมื่อวันอาทิตย์ หลังจากการเจรจารอบที่สี่กับสหรัฐฯ ว่า

“ประเด็นการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมและการยกเลิกคว่ำบาตร เป็นเงื่อนไขที่ไม่สามารถต่อรองได้”

ขณะที่อิสราเอลและสมาชิกพรรครีพับลิกันของทรัมป์บางรายยอมรับว่าอิหร่านอาจมีโครงการนิวเคลียร์พลเรือนได้ แต่ต้องไม่มีการเสริมสมรรถนะยูเรเนียมใด ๆ และต้องรื้อถอนโครงสร้างพื้นฐานด้านนิวเคลียร์ทั้งหมด

เมื่อสัปดาห์ที่ผ่านมา ส.ว. ลินด์ซีย์ เกรแฮม และ ทอม คอตตอน ซึ่งเป็นพันธมิตรใกล้ชิดของทรัมป์ เรียกร้องให้ทรัมป์นำข้อตกลงใด ๆ ที่เกิดขึ้นเสนอต่อวุฒิสภาในฐานะ “สนธิสัญญา” ซึ่งจะต้องผ่านความเห็นชอบด้วยเสียง 2 ใน 3 หรือ 67 เสียง

“ถ้าพวกเขาต้องการข้อตกลงที่มั่นคงและยั่งยืนที่สุด ก็ต้องนำมันเข้าสู่วุฒิสภาและให้มีการลงมติในฐานะสนธิสัญญา” คอตตอนกล่าว

ทั้งนี้ ข้อตกลงนิวเคลียร์ปี 2015 ไม่ได้ผ่านการให้สัตยาบันโดยวุฒิสภา นั่นจึงเป็นเหตุผลว่าทำไมทรัมป์จึงสามารถถอนตัวออกและคว่ำบาตรใหม่ได้อย่างง่ายดาย

ข้อเสนอของฝ่ายนิติบัญญัติยังขัดแย้งกับเส้นตายแดงของอิหร่านในเรื่องการเสริมสมรรถนะยูเรเนียม และยังเพิ่มเงื่อนไขพิเศษ เช่น ต้องรวมประเด็นคลังขีปนาวุธของอิหร่านไว้ในการเจรจาด้วย

แม้ทรัมป์จะมีพันธมิตรในภูมิภาคที่สนับสนุนข้อตกลงกับอิหร่าน แต่สมรภูมิที่ยากกว่านั้นอาจอยู่ในบ้านของเขาเอง ในวอชิงตัน ดี.ซี.


เดอะพับลิกโพสต์ แปลจาก Middle East Eye
เขียนโดย ฌอน แมทธิวส์