เจ้าหน้าที่ระดับสูงลิเบียเจรจากับอิสราเอลเพื่อรับชาวปาเลสไตน์จากกาซาไปตั้งถิ่นฐานใหม่

แหล่งข่าวหลายฝ่ายเปิดเผยกับสื่อ Middle East Eye (MEE) ว่า เจ้าหน้าที่ระดับสูงในรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (GNU) ของลิเบีย ซึ่งได้รับการรับรองจากนานาชาติ ได้เจรจากับเจ้าหน้าที่อิสราเอลเรื่องข้อเสนอให้ลิเบียรับชาวปาเลสไตน์หลายแสนคนที่ถูกขับไล่ออกจากฉนวนกาซาไปตั้งถิ่นฐานใหม่

แหล่งข่าวทั้งจากลิเบีย โลกอาหรับ และยุโรปยืนยันตรงกัน โดยระบุว่า อิบรอฮีม ดเบบีบะห์ ที่ปรึกษาความมั่นคงแห่งชาติ และเป็นญาติของนายกรัฐมนตรี อับดุลฮามิด ดเบบีบะห์ คือผู้ผลักดันการเจรจาครั้งนี้ แม้ชาวปาเลสไตน์ในกาซาจะปฏิเสธ “แผนหลังสงคราม” ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ อย่างสิ้นเชิง

หนึ่งในแหล่งข่าวจากลิเบียเผยว่า ได้มี “การเจรจาเชิงปฏิบัติ” เกิดขึ้นแล้ว แต่ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนเรื่องกลไกหรือแนวทางดำเนินการ ขณะที่อีกแหล่งข่าวย้ำว่าการหารือยังดำเนินอยู่ โดยสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรฝั่งตริโปลีจงใจถูกกันออกไป เพราะกระแสสนับสนุนปาเลสไตน์ในสังคมลิเบียแรงมาก

แหล่งข่าวยังบอกว่า เพื่อแลกกับการยอมรับผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์ สหรัฐฯ พร้อมเสนอการสนับสนุนทางเศรษฐกิจ รวมถึงการปลดล็อกทรัพย์สินของรัฐลิเบียราว 30,000 ล้านดอลลาร์ที่ถูกอายัดโดยกระทรวงการคลังสหรัฐฯ ตั้งแต่ปี 2011 ก่อนการโค่นล้มมุอัมมาร์ กัดดาฟี

ในเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา มีรายงานว่า มัสซาด บูลอส ที่ปรึกษาของทรัมป์และพ่อตาของทิฟฟานี ลูกสาวเขา เคยหารือกับอิบรอฮีม ดเบบีบะห์ เรื่องการปลดล็อกกองทุนดังกล่าว แต่บูลอสปฏิเสธว่าไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการเจรจาเรื่องตั้งถิ่นฐานใหม่ของชาวปาเลสไตน์ พร้อมเรียกรายงานนี้ว่า “ยั่วยุและไม่เป็นความจริง”

อย่างไรก็ตาม แอนนา เคลลี รองโฆษกทำเนียบขาว ย้ำว่าทรัมป์ “สนับสนุนแนวทางสร้างสรรค์เพื่อยกระดับชีวิตชาวปาเลสไตน์มาโดยตลอด รวมถึงการให้พวกเขาย้ายไปอยู่ในสถานที่ใหม่ที่สวยงาม ขณะกาซากำลังฟื้นฟู”

แสวงหาความชอบธรรมจากสหรัฐฯ

ในอีกด้านหนึ่ง มีกระแสข่าวว่า คอลิฟา ฮาฟตาร์ ผู้นำกองทัพทางตะวันออกของลิเบีย ได้รับข้อเสนอให้มีอำนาจควบคุมทรัพยากรน้ำมันเพิ่มขึ้น หากยอมรับชาวปาเลสไตน์หลายแสนคน แต่ฮาฟตาร์ออกมาปฏิเสธแล้ว

หลังจาก MEE ส่งคำถามไปยังรัฐบาล นายกฯ อับดุลฮามิด ดเบบีบะห์ รีบแถลงว่า รัฐบาลของเขาจะไม่เข้าไปเกี่ยวข้องกับ “อาชญากรรม” การโยกย้ายถิ่นฐานชาวปาเลสไตน์

ทั้งนี้ อิสราเอลเคยเสนอแผนขับไล่ชาวปาเลสไตน์จากกาซาอย่างเปิดเผย นายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู กล่าวเมื่อสัปดาห์ก่อนว่า อิสราเอลได้พูดคุยกับ “หลายประเทศ” เพื่อรับผู้พลัดถิ่นเหล่านี้

รัฐมนตรีเกษตรของอิสราเอล อาวี ดิคเตอร์ ถึงขั้นระบุว่าลิเบียคือ “จุดหมายในฝัน” สำหรับชาวปาเลสไตน์ โดยอ้างว่าพวกเขาจะ “เต็มใจย้ายออกจากกาซา” หากมีการสนับสนุนจากนานาชาติ

แต่การบังคับโยกย้ายประชากร ถือเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ โดยเฉพาะมาตรา 49 ของอนุสัญญาเจนีวาฉบับที่ 4 ที่ห้ามการบังคับย้ายพลเรือนภายใต้อำนาจยึดครอง

แหล่งข่าวยุโรปเตือนว่า หากแผนนี้ถูกยัดเยียดให้ลิเบีย จะเป็น “หายนะในหลายมิติ” เพราะชาวปาเลสไตน์จะถูกผลักจากนรกในกาซาไปสู่วิกฤตทางการเมืองและสงครามกลางเมืองในลิเบีย ซึ่งไม่สามารถดูแลพวกเขาได้ สุดท้ายอาจนำไปสู่คลื่นผู้อพยพใหม่มุ่งหน้าสู่ยุโรป

เจ้าหน้าที่อาหรับอีกคนย้ำว่า แผนนี้หากเกิดขึ้นจริง จะเป็น “แรงสั่นสะเทือน” ต่อสังคมลิเบียทั้งหมด

การเจรจาลับและเงาอิสราเอลในแอฟริกา

ไม่เพียงลิเบีย แต่อิสราเอลยังถูกกล่าวหาว่าติดต่อกับหลายประเทศในแอฟริกาและเอเชีย เช่น ซูดาน ซูดานใต้ และโซมาลิแลนด์ เพื่อหาที่ตั้งถิ่นฐานใหม่ให้ชาวปาเลสไตน์ แม้พื้นที่เหล่านี้เองจะเต็มไปด้วยความรุนแรงและความไม่มั่นคง

นักวิเคราะห์การเมืองลิเบียชี้ว่า การที่อิบรอฮีม ดเบบีบะห์เป็นหัวเรี่ยวหัวแรงในเรื่องนี้ “ไม่น่าแปลกใจ” เพราะเขาและรัฐบาลตริโปลีถูกขับเคลื่อนด้วยผลประโยชน์ส่วนตัว และมองเห็นโอกาสจากการใกล้ชิดกับสหรัฐฯ และทรัมป์

แม้ลิเบียจะไม่ได้รับรองอิสราเอลอย่างเป็นทางการ แต่รัฐบาล GNU ก็มีประวัติการเจรจาลับกับเจ้าหน้าที่อิสราเอลมาแล้วหลายครั้ง เช่น ในปี 2023 นัจละ มังกูช รัฐมนตรีต่างประเทศ ได้พบเอลี โคเฮน รัฐมนตรีการต่างประเทศอิสราเอลอย่างลับๆ ในอิตาลี ก่อนถูกเปิดโปงและทำให้เกิดการประท้วงครั้งใหญ่ในลิเบีย

แหล่งข่าวของ Arabic Post เคยรายงานว่า ผู้อยู่เบื้องหลังการประชุมครั้งนั้นก็คือ อิบรอฮีม ดเบบีบะห์ เอง

MEE ได้ติดต่อไปยังสำนักงานนายกรัฐมนตรีลิเบียและรัฐบาล GNU เพื่อขอความเห็น แต่ไม่ได้รับคำตอบจนถึงเวลาที่เผยแพร่รายงานนี้.