อิสราเอลข้ามเส้นแดง หลังถล่มโดฮา โลกอาหรับตั้งคำถามสหรัฐฯ

การโจมตีทางอากาศของอิสราเอลใส่กรุงโดฮา เมืองหลวงของกาตาร์ เมื่อวันที่ 9 กันยายน 2025 ถือเป็นเหตุการณ์ที่สะเทือนภูมิรัฐศาสตร์ตะวันออกกลางอย่างรุนแรง นี่ไม่ใช่เพียงปฏิบัติการสังหารผู้นำฮามาส แต่คือการข้ามเส้นแดง โจมตีบนดินแดนพันธมิตรสหรัฐฯ โดยตรง ประเทศที่เพิ่งทำหน้าที่คนกลางเจรจาหยุดยิงในกาซาและยังเป็นเจ้าภาพฐานทัพอากาศอัลอุไดด์ซึ่งใหญ่ที่สุดในภูมิภาค

สิ่งที่ทำให้โลกตกตะลึงไม่ใช่เพียงการโจมตี แต่คือการที่อิสราเอลไม่ปิดบังแม้แต่น้อย เพียงไม่กี่นาทีหลังเสียงระเบิดดังขึ้น สำนักงานนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮูรีบออกแถลงการณ์ว่า

“อิสราเอลริเริ่ม อิสราเอลดำเนินการ และอิสราเอลรับผิดชอบเต็มที่”

ข้อความนี้ถูกเผยแพร่ในโซเชียลมีเดียอย่างจงใจ เพื่อประกาศต่อทั้งภูมิภาคว่าอิสราเอลพร้อมใช้กำลังโดยไม่ต้องพึ่งพาไฟเขียวจากใคร แม้กระทั่งสหรัฐฯ

นักวิเคราะห์ชี้ เส้นแดงถูกลบไปแล้ว

ในบทวิเคราะห์ของ อัลจาซีรา “Israel leaps over red lines in attack on Qatari capital Doha” (10 ก.ย. 2025) มีการชี้ชัดว่า นี่คือการท้าทายขีดจำกัดใหม่ที่อิสราเอลเชื่อว่าตนสามารถ “ทำได้แล้วรอด”

Mairav Zonszein นักวิเคราะห์อาวุโสจาก International Crisis Group ระบุว่า “อิสราเอลยิงในพื้นที่แออัดและเมืองหลวงทั่วตะวันออกกลางตามใจ และจะทำต่อไป หากไม่มีใครลงมือจริงจังเพื่อหยุดมัน”

มารวน บิชารา นักวิเคราะห์การเมืองอาวุโสของอัลจาซีรา เสริมว่า หากสหรัฐฯ ไม่ได้ไฟเขียวให้โจมตีโดฮา วอชิงตันควรรีบประณามทันที การนิ่งเงียบมีค่าเท่ากับการยอมรับ ขณะที่ Daniel Levy อดีตนักเจรจาสันติภาพอิสราเอลและประธาน US/Middle East Project ชี้ว่าปฏิบัติการครั้งนี้คือ “การดูหมิ่นกฎหมายระหว่างประเทศและอธิปไตยรัฐอื่นในระดับที่เปิดเผยที่สุด”

นักวิชาการ Cinzia Bianco จาก European Council on Foreign Relations ก็ยอมรับว่า “ไม่มีใครคิดว่าโดฮาจะถูกทิ้งระเบิด ความบ้าระห่ำที่เหนือความคาดหมายนี้ทำให้ทุกฝ่ายประหลาดใจ”

กาตาร์จากคนกลางสู่เป้าหมาย

กาตาร์มีบทบาทเป็นผู้ไกล่เกลี่ยสำคัญตั้งแต่สงครามกาซาปะทุในตุลาคม 2023 ทั้งการประสานกับอิสราเอลเพื่อส่งความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และการจัดเจรจาปล่อยตัวเชลยอิสราเอล แต่ปฏิบัติการโจมตีล่าสุดกลับพลิกสถานการณ์—กาตาร์จากคนกลางกลายเป็นเป้าหมาย

อับดุลเลาะห์ อัล-อิมาดี นักเขียนและนักข่าวชาวกาตาร์ ระบุว่า โดฮาจะใช้เวทีสมัชชาใหญ่สหประชาชาติในการ “ระดมความเห็นสาธารณะระหว่างประเทศ เพื่อกดดันอิสราเอลให้เคารพอธิปไตยรัฐ”

ขณะที่ Kristian Coates Ulrichsen จาก Rice University วิเคราะห์ว่า เจ้าหน้าที่กาตาร์และชาติอ่าวอื่น ๆ ต้องการคำตอบจากวอชิงตันว่า “การโจมตีครั้งนี้ได้รับไฟเขียวจริงหรือไม่” เพราะหากเป็นจริงจะ “สั่นคลอนหัวใจของพันธมิตรด้านความมั่นคงสหรัฐฯ–อ่าว”

สหรัฐฯ กับการเล่นสองทางที่ย้อนแย้ง

ทำเนียบขาวออกท่าทีระมัดระวัง ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์กล่าวว่า อิสราเอลเป็นผู้ตัดสินใจเอง “ไม่ได้ช่วยเป้าหมายของทั้งสหรัฐฯ และอิสราเอล” แต่ก็ตอกย้ำว่าการโจมตีฮามาสคือ “เป้าหมายที่คู่ควร”

ท่าทีเช่นนี้ทำให้หลายฝ่ายตั้งข้อสงสัยว่าสหรัฐฯ กำลังเล่นสองทาง คือ พยายามรักษาความสัมพันธ์กับกาตาร์ แต่ขณะเดียวกันก็ปล่อยให้อิสราเอลเดินหน้าโดยไม่ถูกจำกัด

บิชารา นักวิเคราะห์ของอัลจาซีรา ชี้ตรง ๆ ว่า “ถ้าสหรัฐฯ ไม่ได้อนุมัติจริง ควรมีคำประณามทันที แต่เมื่อไม่มี คำถามคือใครกันแน่ที่ยอมรับพฤติกรรมนี้”

จุดเปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์อ่าว

การโจมตีโดฮาไม่ใช่แค่ปฏิบัติการทางทหาร แต่คือการประกาศเชิงยุทธศาสตร์ว่า “ไม่มีใครปลอดภัย” Cinzia Bianco เตือนว่า หลักประกันความมั่นคงของสหรัฐฯ ที่เคยทำหน้าที่ยับยั้งอิสราเอล กำลัง “ระเหยไปต่อหน้าต่อตา” และประเทศ GCC จะเริ่มทบทวนความสัมพันธ์กับวอชิงตัน

Daniel Levy เสริมว่า “ทุกประเทศในภูมิภาคควรมีผลประโยชน์ร่วมกันในการหยุดยั้งความลอยนวลของอิสราเอล มิฉะนั้นระเบิดของกองทัพอากาศอิสราเอลอาจมาถึงย่านของคุณในวันใดวันหนึ่ง”

การโจมตีโดฮาเผยให้เห็นความมั่นใจของอิสราเอลที่เชื่อว่าตนสามารถข้ามเส้นแดงใด ๆ ก็ได้ ตราบใดที่มหาอำนาจโลกยังไม่ลงมือหยุดอย่างจริงจัง สหรัฐฯ ในฐานะพันธมิตรหลักถูกตั้งคำถามหนักว่า ต้องการรักษาความสัมพันธ์กับภูมิภาค หรือจะยังปล่อยให้อิสราเอลเดินหน้าความรุนแรง

สิ่งที่ชัดเจนคือ นี่คือ “จุดเปลี่ยน” ของสมรภูมิการเมืองตะวันออกกลาง เมื่อกาตาร์ ตัวกลางที่ค้ำยันการเจรจา ถูกโจมตีต่อหน้าต่อตาโลก ความศรัทธาต่อระบบความมั่นคงที่มีสหรัฐฯ เป็นแกนกลาง อาจไม่มีวันเหมือนเดิมอีกต่อไป

หมายเหตุ: บทความนี้อ้างอิงและเรียบเรียงจาก Al Jazeera – Analysis: Israel leaps over red lines in attack on Qatari capital Doha (10 กันยายน 2025) พร้อมเสริมบริบทและการวิเคราะห์เพิ่มเติม