
ประธานาธิบดีสหรัฐฯ โดนัลด์ ทรัมป์ ลงนามคำสั่งฝ่ายบริหารค้ำประกันความมั่นคงของกาตาร์ โดยประกาศว่าการโจมตีใด ๆ ต่อดินแดนหรืออธิปไตยของกาตาร์ถือเป็นภัยต่อความมั่นคงของสหรัฐฯ รวมถึงการดำเนินการทางทหารตอบโต้ หากประเทศนี้ถูกโจมตีอีกครั้ง อัลจาซีรารายงาน
ในคำสั่งฝ่ายบริหารนี้ ทรัมป์กล่าวว่า “สหรัฐฯ และกาตาร์ผูกพันกันด้วยความร่วมมือ ผลประโยชน์ร่วม และความสัมพันธ์ใกล้ชิดระหว่างกองทัพของเรา”
ทรัมป์ยังย้ำว่ากาตาร์เป็น “พันธมิตรที่มั่นคงในการแสวงหาสันติภาพ เสถียรภาพ และความรุ่งเรือง” และสนับสนุนวอชิงตันในการไกล่เกลี่ยความขัดแย้งระดับภูมิภาคและโลก
“เพื่อเป็นการรับทราบถึงประวัติศาสตร์นี้ และคำนึงถึงภัยคุกคามต่อรัฐกาตาร์ที่ยังคงเกิดขึ้นจากการรุกรานจากต่างประเทศ นโยบายของสหรัฐฯ คือการรับประกันความปลอดภัยและบูรณภาพแห่งดินแดนของรัฐกาตาร์จากการโจมตีจากภายนอก” เขากล่าว
คำสั่งดังกล่าวระบุชัดว่า “สหรัฐฯ จะถือว่าการโจมตีด้วยอาวุธใด ๆ ต่อดินแดน อธิปไตย หรือโครงสร้างพื้นฐานสำคัญของกาตาร์ เป็นภัยต่อสันติภาพและความมั่นคงของสหรัฐฯ”
คำสั่งนี้มีขึ้นหลังอิสราเอลโจมตีกรุงโดฮาเมื่อ 9 ก.ย. โดยอ้างว่าเป้าหมายคือผู้นำฮามาสที่กำลังหารือข้อเสนอหยุดยิงของสหรัฐฯ ภายใต้การอุปถัมภ์ของกาตาร์ การโจมตีคร่าชีวิตสมาชิกทีมฮามาสหลายคนและเจ้าหน้าที่ความมั่นคงกาตาร์หนึ่งนาย แต่ไม่ใช่ผู้นำหลัก
ต่อมานายกฯ เบนจามิน เนทันยาฮู ได้กล่าวขอโทษกาตาร์ต่อเหตุการณ์ดังกล่าว ผ่านการสนทนาร่วมกับทรัมป์ที่ทำเนียบขาว
หลังเหตุโจมตี สหรัฐฯ พยายามฟื้นฟูความสัมพันธ์กับกาตาร์ ขณะที่ยังยืนยันการสนับสนุนพันธมิตรอิสราเอลเต็มที่ โดยรัฐมนตรีต่างประเทศ มาร์โค รูบิโอ เดินทางเยือนกาตาร์เมื่อ 16 ก.ย. หลังผู้นำอาหรับและอิสลามร่วมประชุมฉุกเฉินในโดฮาแสดงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกับกาตาร์
อย่างไรก็ตาม อัลจาซีราชี้ว่า แม้คำสั่งฝ่ายบริหารของทรัมป์มีนัยการเมืองสูง แต่ขอบเขตการบังคับใช้จริงยังไม่ชัดเจน เนื่องจากพันธกรณีที่มีผลผูกพันตามกฎหมายต้องผ่านความเห็นชอบจากวุฒิสภาสหรัฐฯ
กาตาร์เป็นพันธมิตรทางทหารสำคัญของสหรัฐฯ ตลอดหลายปีที่ผ่านมา โดยฐานทัพอัลอูเดดอันกว้างใหญ่ถูกใช้เป็นที่ตั้งบัญชาการกลางของกองทัพสหรัฐฯ ในภูมิภาค และในปี 2022 สหรัฐฯ ได้แต่งตั้งกาตาร์เป็นพันธมิตรหลักนอกนาโต







