เมื่อวาน…วันนี้…และวันพรุ่งนี้… มุสลิมจีน

ศาสนาอิสลามใน จีน มีความคล้ายคลึงกับศาสนาคริสต์และศาสนาพุทธในจีนคือเป็นศาสนาที่เผยแพร่มา จากต่างประเทศ ซึ่งมีความแตกต่างกับลัทธิเต๋าและขงจื๊อ ที่เป็นลัทธิที่กำเนิดในจีน ทว่าศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ เป็นศาสนาที่เผยแพร่เข้าสู่จีนหลังจากที่กำเนิดเป็นศาสนาแล้ว 600 -700 ปี ส่วนศาสนาอิสลามนั้นต่างกันโดยสิ้นเชิง

ตามการบันทึกไว้ว่า ‘จิ้วถังซู’ ราว ค.ศ. 651 ซึ่งตรงกับฮิจเราะห์ที่ 30 – 31 ชาวต้าสือ (ชื่อเรียกชาวเปอร์เซียอาหรับของคนจีนในสมัยนั้น ) ได้ส่งคณะทูตเยือนจีนเป็นครั้งแรก ซึ่งเป็นจุดเริ่มต้นของศาสานาอิสลามเข้าสู่จีน ทำไมศาสนาอิสลามถึงเข้าสู่จีนเร็วนักหล่ะ? คำตอบคือ เพราะเส้นทางการค้าที่เชื่อมต่อกันระหว่าง  เอเชียกลาง กลุ่มประเทศเปอร์เซีย-อาหรับและจีน—เส้นทางสายไหมนั่นเอง สามารถกล่าวได้ว่าการค้าขายเป็นปัจจัยหลักที่ทำให้ศาสนาอิสลามเข้าสู่จีน ระหว่างการแลกแปลี่ยนกัน  ทางด้านการค้า เป็นการเผยแพร่ศาสนาอิสลามไปในตัวนั่นเอง จึงมีความแตกต่างกับศาสนาพุทธและศาสนาคริสต์ที่เข้าสู่จีนด้วยการเผยแพร่ โดยตรง  ดังนั้นในช่วงต้นนั้นอิสลามจึงเข้าสู่จีนแบบค่อยเป็นค่อยไป และมีบทบาททางด้านการค้ามากกว่า

แม้ว่าเส้นทางสายไหมจะคับคั่งและซบเซา ตามช่วงเวลา แต่สิ่งที่เป็นที่ประจักษ์ชัดเจนคือพ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียที่มาตั้ง หลักแหล่งในจีนมีปริมาณเพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันพ่อค้าที่ร่ำรวยจากการค้าขายและมีตำแหน่งทางด้านการค้าก็มีมาก ขึ้นเช่นกัน พบว่ามีพ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียทำหน้าที่เป็นข้าราชการศุลกากรนำเข้าส่ง ออกในสมัยราชวงศ์ซ่งใต้ เป็นจำนวนไม่น้อย พ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซียส่วนมากตั้งถิ่นฐานอยู่ตามเมืองหลักและเมืองท่า ต่างๆ ของจีน ขณะที่ใช้ชีวิตอยู่บนผืนแผ่นดินจีน เขาได้ปลูกฝังแนวคิดและรูปแบบการดำเนินชีวิตแบบอิสลามโดยไม่รู้ตัว เมื่อเส้นทางสายไหมทางทะเลเข้าสู่หัวเมืองต่างๆ ที่อยู่ทางใต้ของจีน ตั้งแต่กวางเจา ฉวนโจว หางโจว หยางโจว เป็นต้น ซึ่งมีคลองขุดที่ชื่อต้า-หยิ่น-เหอซึ่งเป็นคลองขุดที่เชื่อมภาคเหนือและใต้ ของจีน จึงสามารถ  กล่าวได้ว่าคลองดังกล่าวเป็นคลองที่มีความสำคัญต่อศาสนาอิสลามในจีนเป็น อย่างมาก

เมื่อรัฐบาลในสมัยราชวงศ์ถังและซ่ง จัดสรรให้ที่ทำกินให้กับพ่อค้าชาวอาหรับและเปอร์เซีย จึงทำให้พวกเขาสามารถดำรงชีวิตแบบอิสลามได้อย่างเสรี  สามารถสร้างมัสยิดและปฏิบัติศาสนกิจได้อย่างปกติ ลักษณะการสืบทอดของศาสนาอิสลามในจีนคือการสืบทอดกันแบบพ่อสู่ลูก มิใช่รูปแบบของการเผยแพร่หรือเชิญชวน การสมรสกับชาวฮั่นจึงเป็นการเพิ่มปริมาณของชาติอิสลามไปโดยปริยาย

จนกระทั่งเมื่อชาวมองโกลปกครองเมือง รูปแบบการเข้ามาของมุสลิมในจีนจึงเปลี่ยนแปลงไป หลังจากที่เจงกิสข่านพิชิตดินแดนตะวันออกกลางสำเร็จ มีเชลยศึกที่ติดตามเข้าจีนเป็นจำนวนมาก และผู้นำมองโกลของกลุ่มยีเอ๋อร์ได้เข้ารับศาสนาอิสลาม จึงทำให้ทหารที่ติดตาม 150,000 คน เข้ารับศาสนาอิสลามตาม ด้วยเหตุนี้เอง หลังจากที่ราชวงศ์หยวนปกครองจีน จึงทำให้ทหารเหล่านี้กระจายไปทั่วราชอาณาจักรจีน โดยเฉพาะการกระจายของทหารจากเมืองสู่ชนบท มุสลิมในชนบทจีนจึงเริ่มรวมตัวกันเป็นชุมชนตั้งแต่สมัยนี้ เป็นต้นมา

สมัยราชวงศ์หมิงและชิงเป็นสมัยที่ มุสลิมในจีน มีความเป็นจีนมากที่สุด เพราะนโยบายของทางรัฐบาลจีนในสมัยนี้เป็นนโยบายที่สนับสนุนความเป็นจีนมาก ที่สุด ห้ามมีการสมรสกันภายในกลุ่ม จะต้องสมรสกับชาวฮั่น ชื่อสกุลและภาษาที่ใช้นั้นก็ต้องเป็นชื่อแซ่แบบฮั่น พูดคุยภาษาฮั่น แต่งกายแบบฮั่น เป็นต้น

หลังจากการสถาปนาสาธารณรัฐประชาชนจีน ในปีค.ศ.1949  ศาสนาที่อยู่ในการควบคุมดูแลของรัฐบาลจีนนั้น ไม่ใช่ศาสนาอิสลามเพียงศาสนาเดียว และผู้ที่นับถือศาสนาในจีนมีมากถึง 100 – 300 ล้านคน จำนวนคนที่นับถือศาสนาในจีนนั้นเป็นเรื่องที่คำนวณค่อนข้างลำบาก เพราะผู้ที่นับถือบางศาสนานั้นไม่ค่อยมีความชัดเจนว่าศรัทธาหรือไม่ แต่อย่างไรก็ตามศาสนสถานในจีนนั้นมีมากถึง 300,000 แห่ง (รวมวัด โบสถ์ มัสยิด) ผู้ที่ประกอบอาชีพเกี่ยวกับศาสนาทั้งหมด 300,000 กว่าคน มีวิทยาลัยที่เกี่ยวกับทางศาสนา 70-80 แห่ง ศาสนาอิสลามในจีน  ส่วนมากนับถือนิกายซุนนีย์ มีมุสลิมส่วนน้อยในซินเจียง นับถือนิกายชีอะฮ์

ผู้ที่นับถือศาสนาในประเทศจีนนั้น มีความเห็นพ้องกันว่านโยบายทางศาสนาของจีนมีความยืดหยุ่นมากหลังจากที่เติ้ง เสี่ยว ผิง  ดำเนินการปฏิรูปเปิดประเทศจีน นโยบายทางด้านศาสนาของจีนนั้นให้ความเสรีภาพในการนับถือศาสนา ขณะเดียวกันก็ให้ความเสรีกับผู้ที่ไม่นับถือ ดังนั้นผู้ที่ไม่เคยนับถือศาสนา ก็มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ขณะเดียวกันผู้ที่เคยนับถือศาสนาก็มีความเสรีภาพที่จะไม่เชื่อศาสนาใดๆเลย ก็ได้ ดังสโลแกนที่ว่า “การเมืองก้าวหน้าพร้อมกัน ความศรัทธาเคารพซึ่งกันและกัน” 

ประชากรมุสลิมทั้ง 10 ชนชาติในจีนนั้นมีประมาณ 21 ล้านคน ส่วนมากกระจุกอยู่ทางภาคตะวันตกของจีน  ซึ่งเป็นภาคที่เศรษฐกิจและการศึกษายังไม่พัฒนา เขตปกครองตัวเองหนิงเซียะและซินเจียง เป็นเขตที่มีมุสลิมมากที่สุด แม้ว่ามุสลิมส่วนมากนับถือนิกายซุนหนี่ แต่เนื่องด้วยการอิทธิของเอเชียกลางและเบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ของสังคม ศักดินาในจีน จึงทำให้เกิดกลุ่มน้อยใหญ่ไม่น้อย ซึ่งทางรัฐบาลยอมรับการคงอยู่ของแต่ละกลุ่ม และเน้นให้แต่ละกลุ่มนั้นไม่ก้าวก่ายกันแต่ต้องมีความปรองดองสามัคคีกัน ซึ่งหน่วยงานศาสนาของแต่ละกลุ่มนั้นก็มีตัวแทนของทางการเพื่อไกล่เกลี่ย เหตุการณ์ใหญ่หลวงนั้นมีไม่มาก ปัญหาเล็กๆ น้อยๆ นั้นเกิดขึ้นเสมอ ทางตัวแทนของทางการจึงต้องใช้ความระมัดระวังในการไกล่เกลี่ย หลายปีมานี้ทางรัฐบาลได้นำเนื้อหาของ อัล-กุรอานและหะดิษมาประยุกต์เข้ากับเนื้อหาทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี เพื่อเป็นการส่งเสริมการพัฒนาและเป็นการสร้างความปรองดองของมุสลิมในกลุ่ม ต่างๆ

ในวันพรุ่งนี้มุสลิมในจีนจะเป็นอย่างไร หล่ะ? มุสลิมในจีนนั้นมีบทบาททางด้านต่างๆ ไม่น้อย เช่นนักวิทยาศาสตร์ นักวรรณกรรมจีน ทว่าในภาพรวมแล้วความรู้และสภาพเศรษฐกิจค่อนข้างล้าหลัง ส่วนมากประกอบอาชีพระดับพื้นฐาน ปัจจุบันนี้มีมุสลิมจากภาคตะวันตกหลั่งไหลไปตั้งถิ่นฐานทางตะวันออกและ บริเวณชายฝั่งที่มีเศรษฐกิจดีกว่าจำนวนไม่น้อย เนื่องด้วยความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรม วิถีชีวิตความเป็นอยู่และศาสนา จึงทำให้เกิดเหตุการณ์ต่างๆ ไม่น้อย ซึ่งทางรัฐบาลก็ใช้ความระมัดระวังในการแก้ไข โดยปกติแล้วรัฐบาลจะดูแลชนชาติที่มาจากทางภาคตะวันตกเป็นหลัก ขณะเดียวกันก็เกรงว่าอาจทำให้เกิดความล่าช้าในการพัฒนา

ที่สำคัญที่สุดก็คือ ชาวมุสลิมจีนในปัจจุบันนี้จะต้องให้ความสำคัญกับศาสนาของตัวเอง ตระหนักในเรื่องของความสันติ การให้อภัย ความเป็นกลางและให้ความสำคัญกับการศึกษามากขึ้น เช่นนี้แล้ว มุสลิมในจีนก็สามารถอยู่ในชาติจีนได้อย่างผู้มีความศรัทธา ภาคภูมิ และปรองดองกัน

 

แปลและเรียบเรียงจาก

เมื่อวานวันนี้และวันพรุ่งนี้… มุสลิมจีน วารสารมุสลิมจีน ฉบับที่ 1 ปี 2009