ธงรบ ด่านอำไพ อดีตรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทยที่เพิ่งลาออก ขึ้นสเตตัสในเฟซบุ๊ค แฉกระทรวงการคลังให้ข่าวเท็จ กรณีหนี้เสียไอแบงก์ ขอหยุดโกหกประชาชน อย่าสร้างภาพ พร้อมเปิดโปงความจริง
วาน นี้ (2 ต.ค.) นายธงรบ ด่านอำไพ อดีตรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ที่เพิ่งยื่นใบลาออกและมีผล 1 ต.ค ได้ขึ้นสเตตัสหน้าเฟซบุ๊คของตนว่า
“กระทรวง การคลังให้ข่าวเท็จ ….หนี้ไอแบงค์แก้ไขไปได้มากว่าเป้าหมาย จากเป้าหมายตามแผนฟื้นฟู ปีละ ๖,๕๐๐ ล้านบาท แต่แก้ไขยังไม่ถึงปีได้มากกว่า ๒๓,๐๐๐ ล้านบาท ….แต่ที่หนี้เสียมีปริมาณหนี้เสียเพิ่ม เกิดจาก หนี้เสียที่เพิ่มขึ้นจาก กรรมการผู้จัดการ นายธานินทร์ อังสุวรังษี คนที่รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง นายกิติรัตน์ ณระนอง ส่งมาบริหารงานเป็นกรรมการผู้จัดการ ทำให้หนี้เสีย เพิ่มจาก ๒๔,๐๐๐ ล้านบาทในเดือน ธันวาคม ปี ๒๕๕๕ มาเป็น ๔๒,๐๐๐ พันล้านบาทในเดือน มิถุนายน ๒๕๕๖ ตรงนี้ทำไมไม่พูถึง กำกับดูแลอย่างไร ถึงปล่อยให้หนี้เพิ่มขึ้นอีกเกือบเท่าตัว แลต่อมานายธานนินทร์ อังศุวังษี ถูกพนักงานธนาคารเข้าชื่อร่วมกันมากกว่า ๑,๔๐๐ คนขับไล่ออกไป แต่รัฐมนตรีไม่เอาผิด และยังมีคำสั่งไม่ให้ผม ซึ่งเป็นประธานกอนุกรรมการบริหาร ไม่ให้สอบสวนลงโทษอีกด้วย เป็นการช่วยเหลือ ปกปิด ความผิดให้กัน แล้วกลับมาให้ข่าว ว่าไอแบงค์ แก้หนี้เสียได้น้อย ผมไม่มีผลงาน ซึ่งไม่ตรงกับความจริง …เป็นการโกหกประชาชน ครับ ไม่มีคุณธรรม ไม่มีจริยธรรม …ขอให้หยุดการโกหกประชาชนและใส่ร้ายผม ผมยอมลาออกให้ตามที่ขอร้องแล้ว ยังมาใส่ร้ายเอาดีให้ตัวเองอีก ขอให้ตั้งใจทำงานเพื่อประเทศชาติจริง ๆ ด้วยความซื่อตรงดีกว่าครับ..อย่าสร้างภาพ ไม่งั้นผมจะไม่เกรงใจ นะครับ ….. หรือจะให้ผมออกมาเปิดโปง ความจริงทั้งหมด …ครับ”
กล่าวสำหรับ นายธงรบ ด่านอำไพ อดีตรักษาการผู้จัดการธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย ได้ตัดสินใจยื่นใบลาออกทั้งที่เพิ่งขึ้นมาดำรงตำแหน่งได้ไม่กี่เดือน พร้อมข่าวลือสะพัดว่า ถูกผู้มีอำนาจในกระทรวงการคลังกดดัน เหตุขัดแย้งนโยบาย โดยนายธงรบตั้งใจจะนำพาแบงก์แห่งนี้กลับสู่เจตนารมณ์เดิมตาม พรบ.ธนาคารอิสลาม เป็นแบงก์ปลอดดอกเบี้ย และจะดูแลลูกค้าชาวมุสลิมเป็นพิเศษ ซึ่งผู้มีอำนาจในกระทรวงการคลังไม่เห็นด้วย
ทั้งนี้ พระราชบัญญัติธนาคารอิสลามแห่งประเทศไทย พ.ศ.2545 มาตรา 12 ระบุว่า ให้ธนาคารมีวัตถุประสงค์เพื่อประกอบธุรกิจทางการเงินที่ไม่ผูกพันกับ ดอกเบี้ยและประกอบกิจการอื่น และระบุในวรรคท้ายของมาตราดังกล่าวว่า “การดำเนินกิจการของธนาคารตามวรรค หนึ่งจะต้องไม่ขัดกับหลักการของศาสนาอิสลาม”