เมื่อเราพูดกันถึง เรื่องของ “พลังงานหมุนเวียน” อันมีแหล่งทรัพยากรที่ไม่จำกัด และหลากหลาย ที่น่าสนใจคือ พลังงานหมุนเวียนที่ว่านี้ยังสามารถใช้งานได้ง่ายในประเทศที่ห่างไกลและยัง ไม่พัฒนา และแน่นอนยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วย
บทความ นี้ผู้เขียนอยากโฟกัสไปที่พลังทางเลือก อย่าง พลังงานลม อันถือได้ว่าเป็นแหล่งพลังงานที่เติบโตเร็วที่สุดในโลก และในปัจจุบันมีราคาถูกกว่าพลังงานนิวเคลียร์มาก เมื่อเทียบเงินลงทุนที่เท่ากัน พลังงานลมสามารถผลิตไฟฟ้าได้มากกว่า มีการบันทึกไว้ว่า ในไม่กี่ปีที่ผ่านมามีการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมมากกว่า 6,000 เมกะวัตต์ทุกๆ ปีในยุโรป ซึ่งเท่ากับโรงไฟฟ้านิวเคลียร์ขนาดใหญ่ 2 หรือ 3 แห่ง ดังนั้นเหล่าบรรดาเอ็นจีโอสีเขียวทั้งหลายที่แอนตี้โรงไฟฟ้านิวเคลียร์ จึงต่างออกแรงเชียร์กันใหญ่ โดยเลี่ยงที่จะพูดถึงข้อจำกัดบางประการของการนำพลังงานลมมาใช้ในประเทศไทย
ดัง นั้นเพื่อชี้ให้เห็นความเป็นไปได้ และเพื่อให้มีการร่วมกันหาทางออกเป็นอีก “ทางเลือก” ในการแก้ปัญหาเรื่องวิกฤติพลังงานของประเทศ บทความนี้จึงอยากชี้ให้เห็นข้อจำกัดและข้อเท็จจริงต่างๆ เพื่อนำไปสู่การร่วมกันหาแนวทางที่เราจะนำ “พลังงานลม” มาใช้ได้อย่างมีประสิทธิอย่างจริงๆ จังๆ
พลังงาน ลมนั้นเป็นพลังงานตามธรรมชาติที่เกิดจากความแตกต่างของอุณหภูมิ ซึ่งปัจจุบันถูกนำมาใช้ประโยชน์มากขึ้น โดยเฉพาะในประเทศแถบตะวันตก เนื่องจากพลังงานลมไม่จำเป็นต้องมีค่าใช้จ่ายในการซื้อหา เช่นเดียวกันกับพลังงานแสงอาทิตย์ สำหรับในบ้านเรานั้นเริ่มมีการสนับสนุนให้ใช้พลังงานลมภายใต้นโยบายแผนพัฒนา พลังงานทดแทน 15 ปี ของกระทรวงพลังงาน หลังจากเกิดวิกฤติราคาเชื้อเพลิงพุ่งสูงขึ้น
เรา ได้ยินข่าวกันบ่อยๆ ใช่ไหมว่า พลังงานลม ในยุคนี้สามารถพัฒนาให้เป็นพลังงานที่ผลิตกระแสไฟฟ้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ แต่เราก็ต้องยอมรับความจริงว่า พลังงานลมในประเทศเรายังมีศักยภาพความเร็วลมต่ำ หรือมีปริมาณของลมไม่สม่ำเสมอตลอดปี นั่นเป็นเหตุให้การผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมในประเทศไทยได้ผลในเปอร์เซ็นที่ต่ำ และในส่วนของอุปกรณ์ ‘กังหันลม’ ก็มีราคาแพง จึงเป็นอุปสรรค์อย่างหนึ่งต่อการพัฒนาการผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงานลมใน ประเทศไทย
อย่างไรก็ตามถึง แม้ต้นทุนในการติดตั้ง และราคาอุปกรณ์พลังงานลมจะมีราคาที่สูงก็ตาม แต่ในแง่ของผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมแล้วเป็นพลังงานที่สะอาดไม่ก่อให้เกิดภาวะ โลกร้อน ซึ่งเป็นประโยชน์ด้านสิ่งแวดล้อมที่สำคัญที่สุดของการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลม และยังเป็นพลังงานทดแทนที่สามารถติดตั้งได้เร็วอีกด้วย
และ จากการสนับสนุนของกระทรวงพลังงานในการรับซื้อไฟฟ้าพลังงานลมที่ Adder ละ 4.50 บาทต่อหน่วยสำหรับกำลังผลิตต่ำกว่า 50 กิโลวัตต์ และ 3.50 บาทต่อหน่วยของส่วนที่เกินกว่า 50 กิโลวัตต์ เป็นเวลา 10 ปี จึงมีการสนับสนุนการลงทุนในการผลิตไฟฟ้ากังหันลมใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ โดยได้รับการสนับสนุนเพิ่มอีก 1.50 บาทต่อหน่วยเป็น 5 บาทต่อหน่วย รวมถึงการสนับสนุนจาก BOI ในการส่งเสริมการลงทุนโดยไม่ต้องเสียภาษีอากรในนำเข้าเครื่องจักรอุปกรณ์ที่ ใช้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลม และรายได้จากการขายพลังงานไฟฟ้าของบริษัทผู้ลงทุนด้านพลังงานลมก็ไม่ต้อง จ่ายภาษีเป็นเวลา 8 ปี ซึ่งถือเป็นแรงจูงใจให้ผู้ประกอบการสนใจในการลงทุนผลิตกระแสไฟฟ้าจากพลังงาน ลมได้ในระดับหนึ่ง
สำหรับการวิจัยและสำรวจพลังงานลมใน ประเทศไทยเมื่อปี 2553 ผลปรากฏว่าศักยภาพลมในประเทศไทยถึงจะมีความเร็วลมไม่สูงมาก แต่ก็สามารถใช้ผลิตไฟฟ้าได้ โดยเฉลี่ยประมาณ 5–6 เมตรต่อวินาที สำหรับพื้นที่ที่มีศักยภาพในการผลิตนั้น ส่วนใหญ่อยู่แถวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ เช่น พื้นที่แถวจ.นครราชสีมา จ.ชัยภูมิ และ จ.เพชรบูรณ์ ซึ่งส่วนใหญ่เป็นพื้นที่ภายใต้การดูแลของสำนักงานการปฏิรูปที่ดินเพื่อ เกษตรกรรม (ส.ป.ก.) และเป็นพื้นที่ภูเขาสูง นั่นจึงกลายเป็นอุปสรรคอีกประการหนึ่งของการพัฒนาพลังงานลม เนื่องจากมีความลำบากในการเข้าไปติดตั้งอุปกรณ์ และการส่งกำลังเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า นอกจากนี้แล้วบางพื้นที่ซึ่งมีความเร็วลมเหมาะแก่การติดตั้ง แต่ก็เป็นพื้นที่เขตป่าสงวนแห่งชาติที่ไม่สามารถเข้าไปติดตั้งกังหันลมได้ เสียอีก
ส่วนพื้นที่ชายฝั่ง ทะเลโดยทั่วไปในเมืองไทย คนที่เคยไป ‘แหลมพรหมเทพ’ จ.ภูเก็ต คงเคยเห็นกังหันลมตั้งเรียงรายเป็นทิวแถวอยู่บนเชิงเขาบริเวณแหลม ซึ่งติดตั้งกันมาตั้งแต่ปี พ.ศ. 2526 โดย การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย (กฟผ.) โดยเหตุที่เลือกบริเวณแหลมพรหมเทพ เป็นจุดติดตั้งก็เพราะมีข้อมูลบ่งชี้ว่า พื้นที่นี้มีความเร็วลมเฉลี่ยตลอดปี ประมาณ 5 เมตรต่อวินาที และอยู่ติดกับทะเลจึงได้รับอิทธิพลจากลมมรสุมตะวันตกเฉียงใต้ และลมมรสุมตะวันออกเฉียงเหนือ ที่นับว่าเป็นตำแหน่งซึ่งรับลมได้ดีเกือบตลอดปี ต่อมาจึงได้มีการก่อสร้างสถานีทดลองการผลิตไฟฟ้าจากกังหันลม ใช้ชื่อว่า สถานีพลังงานทดแทนพรหมเทพ โดยตั้งอยู่ทางทิศเหนือของแหลมพรหมเทพ ประมาณ 1 กิโลเมตร
การสนับสนุนทุน วิจัยเพื่อออกแบบสร้างกังหันลมในเมืองไทยนั้น ยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เช่นที่มีการติดตั้งและนำไปทดลองใช้งาน ผลปรากฏว่า ส่วนใหญ่ยังมีปัญหาเกี่ยวกับระบบส่งกำลัง และความแข็งแรงของใบกังหัน ต่อมา กฟผ.ได้มีการออกแบบสร้างกังหันลมแบบล้อจักรยาน นำไปติดตั้งทดสอบการใช้งานที่ชายฝั่งทะเล บริเวณบ้านอ่าวไผ่ อำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี ซึ่งปรากฏว่า มีปัญหาเรื่องระบบส่งกำลังอีกเช่นกัน
อีก พื้นที่หนึ่งที่มีการติดตั้ง “กังหันลมที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย” คือที่ อ.หัวไทร จ.นครศรีธรรมราชนั้น โดยกรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน จุดประสงค์ที่ติดตั้งคือ เพื่อผลิตกระแสไฟฟ้า และใช้สำหรับทดลองให้ประชาชนและภาคเอกชนเห็นถึงความสำคัญของพลังงานลม พบว่าพื้นที่ริมชายฝั่งอ่าวไทยด้าน อ.หัวไทร มีความเร็วลมเฉลี่ย 5 เมตรต่อวินาที จุดนี้จึงเป็นเหมือนโมเดลตัวอย่างเพื่อส่งเสริมและสนับสนุนให้ภาคเอกชนหันมา ลงทุนผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมมากขึ้นโดยในพื้นที่อ.หัวไทร นั้น ปัจจุบัน บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) ได้เตรียมแผนที่จะลงทุนติดตั้งกันหันลม 20 ตัวขนาดกำลังการผลิตไฟฟ้ารวม 30 เมกะวัตต์
อย่างไร ก็ตาม แม้จะมีความพยายามในการผลักดันและสนับสนุนจากหลายหน่วยงาน แต่ก็จะเห็นว่า การติดตั้งยังต้องคำนึงถึงหลายเหตุปัจจัยหลายประการ อาทิ ความปลอดภัยของตัวเครื่องจักร (เพราะหากแรงลมพัดแรงเกินไปก็ทำให้กังหันและเครื่องจักรชำรุดเสียหายได้) ต้องคำนึงถึงระยะห่างจากแหล่งชุมชนด้วย (เพราะเวลาที่กังหันลมหมุนจะเกิดมีเสียงดังค่อนช้างมาก อาจก่อเหตุรำคาญให้แก่ชุมชนได้) เป็นต้น
ลอง ดูพื้นที่ตั้งของ ทุ่งกังหันลม(Wind Farm) ในต่างประเทศ ก็จะเห็นว่า เขามีการก่อสร้างติดตั้งอยู่ห่างจากชุมชนหลายกิโลเมตร หนทางการพัฒนาพลังงานลมในเมืองไทย จึงใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ แม้มีอุปสรรคแต่จากการสนับสนุนของกระทรวงพลังงานภายใต้แผนพัฒนาพลังงานทดแทน 15 ปี ปัจจุบันจึงมีผู้ประกอบการยื่นขอเป็นผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานลมแล้ว ประมาณ 10 กว่าเมกะวัตต์ ซึ่งยังอยู่ในการพิจารณาของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม และกระทรวงพลังงาน
ตลอดปี 2555 ที่ผ่านมานี้ ผู้ประกอบการหลายรายได้ดำเนินการติดตั้ง “ทุ่งกังหันลม” แล้ว ตามแผนระยะสั้นภายในสิ้นปีนี้จะมีกำลังในการผลิตไฟฟ้าจากพลังงานลมที่ 110 เมกะวัตต์ และแผนระยะยาว ในปี 2565 ภายใต้แผนพัฒนาที่กล่าวมา ได้กำหนดเป้าหมายไว้ที่ 800 เมกะวัตต์
สิ่ง ที่ต้องคำนึงถึงก็คือ พื้นที่ส่วนใหญ่ของประเทศไทยนั้น มีความเร็วลมเฉลี่ยที่ 3 เมตรต่อวินาที ซึ่งหากผู้ประกอบการในประเทศไทยสามารถพัฒนา และผลิตกังหันลมสำหรับรองรับความเร็วลมต่ำแบบนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ก็ยังมีพื้นที่อีกมากมายในเมืองไทยที่สามารถใช้เป็นพื้นที่ผลิตไฟฟ้าจาก พลังงานลมได้….ความหวังนี้ในอนาคตอันใกล้ เราคงได้เห็นกันแน่นอน!

อภิรดี จูฑะศร เป็นอดีตผู้สื่อข่าวภูมิภาค (ภาคใต้) นสพ.ผู้จัดการรายวัน อดีตหัวหน้าฝ่ายประชาสัมพันธ์และครีเอทีฟบริษัทบันเทิงยักษ์ใหญ่ 2 ค่ายดังของเมืองไทย ก่อนมารับตำแหน่งบรรณาธิการบริหารนิตยสารในเครือจีเอ็ม กรุ๊ป เป็นอดีตเลขาธิการสมาคมนักข่าวบันเทิงแห่งประเทศไทย เมื่อปี 2546-2548 มีบทบาทร่วมเคลื่อนไหวและรณรงค์ด้านสังคมและสิ่งแวดล้อมเกี่ยวกับการอนุรักษ์ ผืนป่าตะวันตก และต่อต้านการค้าสัตว์ป่าและการทารุณกรรมสัตว์ ตั้งแต่ปี 2541 จนถึงปัจจุบัน เคยเป็นเลขาธิการมูลนิธิ Wildlife และ เป็นกรรมการกิตติมศักดิ์ของมูลนิธิกระต่ายในดวงจันทร์ มีผลงานเขียนทั้งบทความ สารคดี บทกวี เรื่องสั้น และบทสัมภาษณ์คนดังหลายวงการในหน้านสพ.และนิตยสารหลายเล่มตลอดกว่า 25 ปีในแวดวงสื่อสารมวลชน ปัจจุบันเป็นครีเอทีฟ ไดเร็กเตอร์ บ.มีเดีย โร้ด , บรรณาธิการ/ผู้พิมพ์ผู้โฆษณา นสพ. The Public Post