อดีตสมาชิกสภาคองเกรส “รอน พอล” ได้ให้ความเห็นกับสำนักข่าวอาร์ทีของรัสเซียเกี่ยวกับคำขู่ของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ที่จะออกจากสนธิสัญญาอาวุธนิวเคลียร์พิสัยกลาง (INF)
อดีตสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรของพรรครีพับลิและหัวหน้าสถาบันรอน พอล เพื่อสันติภาพและความรุ่งเรือง (Ron Paul Institute for Peace and Prosperity) บอกกับอาร์ทีว่า เขาไม่เชื่อว่าการถอนตัวของสหรัฐฯ จากสนธิสัญญา ปี 1987 นั้นเป็นการทำเพื่อเพิ่มความมั่นคงของสหรัฐฯ
ถ้าทรัมป์ทำตามคำขู่ของเขาด้วยการถอนตัวจากสนธิสัญญาที่ลงนามระหว่างปธน.โรนัลด์ เรแกน กับ ปธน.มิคาอิล กอร์บาชอฟ “ก็ไม่ได้ทำให้เกิดผลดีต่อเราแต่อย่างใด” รอน พอล กล่าว
กลุ่มอุตสาหกรรมทางทหารของสหรัฐฯ จะพยายามสร้างเหตุผลให้เกิดการสะสมอาวุธนิวเคลียร์เพิ่มขึ้น โดยชี้ไปที่การทหารของจีน ซึ่งเป็นแหล่งที่มาของความกังวลที่ก่อตัวเพิ่มขึ้นในสถาบันกองทัพ
“นั่นหมายความว่า รัฐบาลอเมริกัน อุตสาหกรรมการทหารที่ซับซ้อน ต้องการสร้างอาวุธเพิ่มขึ้นมาอีก เป็นเพราะชาวจีน”
“ชาวจีนกำลังสร้างอาวุธเหล่านั้นอยู่ ทำไมเราถึงไม่สร้าง?”
พอลไม่เชื่อว่า การคาดคะเนเรื่องภัยคุกคามจากจีนจะเป็นเหตุผลที่ถูกต้องในการสะสมอาวุธให้มากขึ้น
“เรามีอาวุธมากพอ ไม่ใช่แค่-พอ-ที่จะทำลายตัวเอง แต่-พอ-ที่จะทำลายโลกได้มากกว่า 10 ครั้ง ดังนั้นเราไม่จำเป็นต้องกังวลว่าจะไม่มีอาวุธเพียงพอหรือไม่”
ถ้าสหรัฐอเมริกาถอนตัวออกมาจากสนธิสัญญานี้ ก็ไม่ได้เพราะมีความต้องการอาวุธเพิ่มเติมใดๆ
“ผมไม่คิดว่านั่นจะเป็นข้อโต้แย้งที่แท้จริง” พอลกล่าว
เมื่อเร็วๆ นี้ ทรัมป์ขู่ว่าจะยกเลิกสนธิสัญญา INF โดยบอกว่ารัสเซียไม่ได้ปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ เจ้าหน้าที่สหรัฐกล่าวหาว่ามอสโกผลิตอาวุธที่ต้องห้ามตามสนธิสัญญานี้ แต่รัสเซียปฏิเสธข้อกล่าวหาอย่างแข็งขัน ในทางกลับกันรัสเซียก็สวนกลับว่า สหรัฐฯ ต่างหากที่บิดพริ้วสนธิสัญญาด้วยการติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธในยุโรปที่สามารถปรับใช้ยิงขีปนาวุธร่อนพิสัยกลาง
ทรัมป์ชี้ว่าเขาต้องการให้นำสนธิสัญญาอื่นมาทดแทน เพื่อลดการสร้างอาวุธนิวเคลียร์ของจีน และกล่าวว่าสหรัฐฯ จะยังคงสร้างอาวุธนิวเคลียร์ต่อไปจนกว่าทั้งมอสโกและปักกิ่งจะมีสติ
ทั้งนี้สนธิสัญญา INF ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปี 1998 เป็นหนึ่งในสิ่งกีดขวางไม่กี่อย่างที่ยังคงอยู่ในการป้องกันการแพร่ขยายอาวุธนิวเคลียร์