แฮกเกอร์ปล่อยแล้ว “ไฟล์ลับเหตุการณ์ 9/11” ขู่ปล่อยเพิ่มครั้งหน้าจะ ‘เผาผลาญ’ รัฐพันลึกสหรัฐฯ

New York September 11, 2001 © Reuters / Sara K. Schwittek (Via RT)

กลุ่มแฮกเกอร์ชื่อดัง “Dark Overlord” ได้เปิดตัวกุญแจรหัสสำหรับเอกสาร 650 รายการที่เกี่ยวข้องกับเหตุการณ์ 9/11 พร้อมทั้งขู่ว่าหากไม่มีการจ่ายค่าไถ่ก็จะปล่อยเพิ่มอีกซึ่งจะส่งผลทำลายล้าง’รัฐพันลึก’ (deep state) สหรัฐอเมริกา อาร์ทีสื่อรัสเซียรายงาน

การปล่อยเอกสารชุดนี้เป็นเพียงเศษเสี้ยวของเอกสารลับ 18,000 ฉบับที่เกี่ยวข้องกับการโจมตีของผู้ก่อการร้ายเมื่อวันที่ 11 กันยายน 2544 หรือเหตุการณ์ 9/11 ซึ่งเชื่อว่าถูกขโมยจากบริษัทประกันภัย บริษัทกฎหมาย และหน่วยงานรัฐบาล

แฮกเกอร์ “Dark Overlord” เริ่มขู่ว่าจะปล่อยข้อมูลที่มีจำนวน 10GB เว้นแต่ว่าบริษัทที่ถูกแฮ็กจะจ่ายค่าไถ่ด้วยเงิน “บิตคอยน์” ที่ไม่ได้ระบุจำนวนไว้ อย่างไรก็ตามในวันพุธ (2 ม.ค.62) แฮกเกอร์กลุ่มนี้ได้ประกาศแผนค่าตอบแทนเป็นลำดับชั้น (tiered compensation plan) ซึ่งเปิดให้ประชาชนสามารถทำการชำระเงินบิตคอยน์เพื่อปลดล็อกเอกสารเหล่านี้

หนึ่งวันต่อมา Dark Overlord กล่าวว่าได้รับมากกว่า 12,000 เหรียญสหรัฐฯ ในรูปบิตคอยน์ – เพียงพอที่จะปลดล็อค “เลเยอร์ที่ 1”  ซึ่งประกอบด้วยเอกสารทั้งหมด 650 รายการ

มีอีก 4 เลเยอร์ที่ยังคงถูกเข้ารหัส “แต่ละชั้นเลเยอร์มีความลับมากขึ้น มีข้อมูลที่สร้างความเสียหายมากขึ้น … และบอกความจริงมากขึ้น” แฮกเกอร์ระบุ

แฮกเกอร์กลุ่มนี้ร้องขอบิตคอยน์มูลค่า 2 ล้านดอลลาร์เพื่อเปิดเผย “ข้อมูลรั่วไหลชิ้นมโหฬาร”(megaleak) ซึ่งพวกเขาขนานนามมันว่า “เอกสาร 9/11” (9/11 Papers)

กลุ่มแฮกเกอร์ยังเสนอขายเอกสารเหล่านี้ให้กลุ่มก่อการร้าย รัฐบาลต่างประเทศ และสำนักข่าว

ทั้งนี้สำนักข่าวอาร์ที สื่อรัสเซียระบุว่า ตนได้ติดต่อไปยังแฮกเกอร์เพื่อสอบถาม ซึ่งพวกเขายินดีขายเอกสารเหล่านั้นให้

ทั้งนี้อาร์ทีระบุว่า จากการได้เข้าไปอ่านเอกสาร (หากเป็นของจริง) ที่แฮกเกอร์ปล่อยอออกมาแล้วนั้น ก็ไม่ปรากฏว่ามีข้อมูลใดที่สำคัญ ส่วนใหญ่มุ่งเน้นไปที่การรับรองความปลอดภัยของสนามบินและรายละเอียดเกี่ยวกับการจ่ายเงินประกันให้แก่บุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการโจมตี 9/11 อย่างไรก็ตามการปล่อยข้อมูลนี้อออกมาก็แสดงให้เห็นว่ากลุ่มแฮกเกอร์ไม่ได้บลัฟหรือลักไก่

“ให้สิ่งนี้เป็นหลักฐานที่ชัดเจนยิ่งขึ้นว่าสิ่งที่เราพูดนั้นเป็นความจริง และเรากำลังทำสิ่งที่เราสัญญากับคุณ ดำเนินการต่อไปเพื่อให้บิตคอยน์ไหลมา” พวกเขาเขียนข้อความทิ้งไว้พร้อมกุญแจถอดรหัส

เอกสาร ซึ่งถูกขจัดโดยทันทีจากเรดดิท เพสบิน และทวิตเตอร์ ยังสามารถโหลดได้ที่ Steemit ณ เวลาที่รายงานข่าวนี้ อาร์ทีระบุ

ไม่นานหลังจากปล่อยคีย์รหัส กลุ่มแฮกเกอร์ได้โพสต์ยื่นคำขาดที่ส่งถึง “รัฐชาติของสหรัฐอเมริกาและรัฐสุดพันลึก” (“the nation-state of the United States of America and the greater deep-state)

“ถึงทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง (สายการบิน บริษัทกฎหมาย บริษัทสอบสวน เอฟบีไอ, ทีเอสเอ, เอฟเอเอ, ธนาคาร, บริษัทรักษาความปลอดภัย และอื่นๆ) เราจะเผาผลาญคุณ เว้นแต่คุณจะเริ่มให้ความร่วมมือ” ข้อความระบุ

เห็นได้ชัดว่าพวกเขาโกรธด้วยความจริงที่ว่ายังไม่ได้ค่าไถ่ ข้อความเตือนจึงระบุ “เรากำลังเปิดชั้นข้อมูลเหล่านี้เหมือนปอกหัวหอม ไม่มีใครสามารถช่วยคุณได้ยกเว้นเรา จ่ายมาซะไอ้ฉิบหาย”

แม้ว่ากลุ่มแฮกเกอร์ยืนยันว่ามีแรงจูงใจทางการเงิน และไม่สนใจใน “แฮ็กทีวิสม์” (hacktivism) หรือ “การโจมตีเป้าหมายเพื่อแสดงความคิดเห็นในทางสังคมหรือการเมือง” แต่พวกเขาก็ยังแสดงความหวังว่าการระดมทุนของฝูงชนอย่างต่อเนื่องจะช่วยให้เปิดเผยเอกสารทั้งหมด 18,000 ฉบับ”

“เราไม่อาจอนุญาตให้สื่อกระแสหลักปิดปากความจริงได้อีกต่อไป เราต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าการโฆษณาชวนเชื่อของพวกเขาจะถูกบดขยี้ด้วยความจริงที่เรากำลังทำอยู่ในวันนี้ ” แฮกเกอร์เขียนหลังจากให้คีย์ถอดรหัสสำหรับ “เลเยอร์ 1”

กลุ่มแฮกเกอร์ The Dark Overlord อ้างว่าได้ทำการแฮ็กเอกสารจากบริษัทประกันภัยชั้นนำระดับโลกอย่างลอยด์แห่งลอนดอน (Lloyds of London) และฮิสค็อกซ์ (Hiscox) รวมทั้งจาก Silverstein Properties ซึ่งเป็นเจ้าของเวิร์ลเทรดเซ็นเตอร์คอมเพล็กซ์ และหน่วยงานรัฐบาลต่างๆ

ต้นฉบับที่พวกเขาเรียกว่า “ข้อมูลรั่วไหลชิ้นมโหฬาร”  นั้นเป็นเอกสารลับที่ตั้งใจจะทำลาย แแต่ถูกเก็บรักษาไว้โดยบริษัทกฎหมาย ซึ่งนัยว่าเป็น “ความจริงเกี่ยวกับหนึ่งในเหตุการณ์ที่เป็นที่รู้จักมากที่สุดในประวัติศาสตร์เมื่อไม่นานมานี้ และเป็นเหตุการณ์หนึ่งที่ถูกปกคลุมไปด้วยความลึกลับ มีความกระจ่างเพียงเล็กน้อย และไร้คำตอบอย่างมากมาย”

กลุ่มแฮกเกอร์ “The Dark Overlord” ปรากฏตัวครั้งแรกในปี 2016 โดยการแฮกศูนย์การแพทย์แห่งหนึ่ง และนำข้อมูลที่ละเอียดอ่อนไปโฆษณาขายบนเว็บมืด (dark web) เพื่อบังคับให้ผู้ที่ตกเป็นเหยื่อต้องจ่ายค่ากำจัดข้อมูลเหล่านั้น และพวกเขายังเคยแฮ็ก Netflix โดยปล่อยซีรีย์ Orange is the New Black ออกมาทั้งซีซันเมื่อปีที่ผ่านมาหลังจากไม่ได้รับค่าไถ่ ข้อมูลระบุมีผู้เคยตกเป็นเหยื่อของแฮกเกอร์กลุ่มนี้ไปแล้วมากกว่า 50 ราย