ข้อสังเกตต่อกรณีเลิกจ้างลูกจ้างของซัมซุงฯ โคราช

ผมว่าจะเขียนเรื่องนี้มาตั้งแต่สองวันก่อน แล้วก็มาตัดใจว่า คงไม่มีเวลาเขียนบทความแน่ๆ เนื่องจากต้องเขียนเอกสารการประกันคุณภาพการศึกษาภายใน (QA) ของสถาบันที่สังกัด แล้วสุดท้ายก็กลับมามาลงเอยว่า เอ้า! เขียนก็เขียน เพราะอดไม่ได้จริงๆ ที่จะขอแลกเปลี่ยนข้อมูลและความเห็นสักหน่อย

ด้วยเหตุผลว่า เห็นมีคนโยงประเด็นนี้เข้ากับปัจจัยการเมืองอย่างกว้างขวาง ทั้งฝ่ายที่พยายามโทษว่า รัฐบาลที่แล้วทิ้งขี้เอาไว้ให้เช็ดเยอะมาก โดยเฉพาะในกรณีนี้ก็คือ การประกันค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท ที่เป็นการบิดเบือนกลไกตลาด และทั้งในฝ่ายที่ตั้งท่าคอยจับสัญญาณเศรษฐกิจแย่ เพื่อจะเอามาพิสูจน์ว่า รัฐบาลเผด็จการทหารไร้น้ำยาในการบริหารเศรษฐกิจ และจะพาประเทศพังฉิบหายกันหมด

ก่อนที่ผมจะเข้าประเด็น ขอนำเรียนเบื้องต้นว่า จากการที่ข่าวสำนักต่างๆ ต่างให้ความสำคัญนำเสนอข่าวสถานการณ์นี้อยู่ค่อนข้างมาก และ feedback ของบรรดาชาวเน็ตไทยในแต่ละเพจสำนักข่าวบน facebook ก็มหาศาล ข้อสังเกตเบื้องต้นของผม จึงเป็นว่า แม้หลายคนจะพยายามบอกว่า เศรษฐกิจยังดีอยู่, เศรษฐกิจไม่ดีก็ดีกว่าให้รัฐบาลโกงกินมาบริหารบ้านเมือง เพราะทหารเขาไม่โกง, เศรษฐกิจไม่ดีก็อย่าไปพูดว่าไม่ดีเดี๋ยวมันจะไม่ดีเข้าไปใหญ่ ฯลฯ แต่การเล่นข่าวนี้ และ feedback ต่อข่าวนี้ บน facebook ก็สะท้อนให้เห็นสภาพจิตใจของสังคมได้ไม่น้อยเลยว่า ทุกๆ คนต่างก็ดูกังวลอยู่ไม่ต่างกันนักว่า เศรษฐกิจกำลังจะแย่ พวกที่ไม่อยากจะเชื่อและไม่อยากให้มันเกิดขึ้นจริงก็จะหยิบยกหลายตรรกะเหตุผลขึ้นมาปัดป้อง เพื่อปกป้องความเชื่อมั่น ความรู้สึกปลอดภัยมั่นคงทางเศรษฐกิจของตนเอง ส่วนผมเองเห็นว่า เราควรต้องมีความกล้าหาญก้าวข้ามม่านกำแพงมายาที่เราใช้เป็นเกราะคุ้มกันจุดยืนทางการเมืองของเราอยู่ และก้าวข้ามความกระหายซ้ำเติมฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองด้วยระดับจิตใจที่พร้อมกามิกาเซ่พลีชีพลงนรกไปพร้อมกัน

ผมมีข้อสังเกตมานำเสนอ 3 เรื่องให้ท่านผู้อ่านลองพิจารณาดูครับ

1. ข่าวล่าสุดยังคงถกกันว่า กรณีของ บ.ซัมซุง อิเล็คโทร-แม็คคานิคส์ เป็นการปิดกิจการหรือแค่การเลิกจ้างลูกจ้างจำนวนหนึ่งเท่านั้น แต่ที่แน่นอนคือ กรณีนี้คนละเรื่องกับแผนย้ายฐานการผลิตครับ

2. เหตุของการปิดกิจการหรือเลิกจ้างก็ตาม เกิดจากออเดอร์สั่งสินค้าหดตัวอย่างมาก ทั้งจากเศรษฐกิจถดถอยในระดับโลก ภูมิภาค และจีน บวกกับทั้งเงื่อนไขระบอบการเมืองภายในของไทยและน้ำยาของผู้บริหารนโยบายเศรษฐกิจของรัฐบาลทหารในปัจจุบัน

แม้ค่าแรง 300 จะทำให้ต้นทุนสูงขึ้น แต่ไม่ใช่ปัจจัยหลักที่นำไปสู่การปิดกิจการ/เลิกจ้าง ปัจจัยหลักคือ ออเดอร์ของไม่เข้า ซึ่งในข่าวที่ถือข้อมูลว่าซัมซุงไม่ได้ปิดแต่เลิกจ้างก็ให้เหตุผลว่า ที่แค่เลิกจ้างเพราะรอช่วงปลายปีอาจมีออเดอร์สินค้ามา ก็จะไม่ต้องปิดกิจการ น่ะครับ

3. อย่างไรก็ตาม เรื่องนโยบายย้ายฐานการผลิตเป็นแนวนโยบายที่หลายอุตสากรรมคิดกันมาตั้งแต่ปีก่อนแล้ว เช่น แอลจีก็ย้ายบางไลน์ผลิตไปเวียดนาม และหลายอุตสาหกรรมก็มีแผนย้ายไปเวียดนามเหมือนกัน มาจาก 2 ปัจจัยหลักฮะ คือ

(1) การเปิด AEC ที่เดิมผู้บริโภคสินค้าประเภททีวี เครื่องใช้ไฟฟ้า ฯลฯ เหล่านี้ ประเทศไทยยังบริโภคเยอะ ทีแรกเค้าก็เลยมาเปิดฐานที่ไทย เพราะไม่ต้องเสียภาษี แต่ทีนี้ถ้ามันเปิด AEC แล้ว ก็ไม่มีภาษี/ภาษีนำเข้า-ส่งออกลดลงมาก การย้ายไปเพื่อนบ้านที่เหยียบหัวกดหัวคนรากหญ้าอย่างไม่แยแสสวัสดิภาพเขายิ่งกว่าไทย กฎระเบียบที่เอื้อทุนต่างชาติให้เข้ามามากกว่าไทย จึงเป็น option ที่คุ้ม

(2) หลายคนตีว่าเป็นเพราะค่าแรงไทยแพงกว่า คือ มีการประกันขั้นต่ำ 300 บาท ผมอยากนำเรียนว่า มันก็ถูกแล้วไม่ใช่เหรอ(วะ) ที่รัฐต้องรับรองคุณภาพชีวิตที่ไม่แย่จนเกินไปให้กับพลเมืองของตนเอง และกรณีผู้บริหารแอลจีท่านหนึ่งก็เคยให้ทรรศนะว่า เอาจริงๆ แล้ว แม้ค่าแรงไทยจะแพงกว่าเพื่อนบ้านก็จริง แต่สุดท้ายอีกไม่นาน มันก็จะไม่ต่างกันมากหรอก เพราะงั้น ค่าแรง ไม่ใช่ปัจจัยสำคัญ

(3) แต่ปัจจัยสำคัญในส่วนเกี่ยวกับแรงงาน คือ การย้ายฐานเพื่อเพิ่มกำลังผลิต มากกว่า แปลว่าอะไร แปลว่า อยู่ในไทยกำลังที่จะไปผลิตให้เขามีน้อย ถามว่าทำไม ก็เพราะบัณฑิตประเทศนี้ก้าวไปไกลเกินกว่าจะรับได้กับงานที่ค่าแรงขั้นต่ำ 300 อีกแล้ว สัดส่วนคนที่จะรับได้กับการมาทำงานจำพวกนี้มีน้อยลง

ตามตรรกะนี้ ถ้ายิ่งไม่มีประกันค่าแรง หลายบริษัทก็จะดร็อปค่าแรงขั้นต่ำลงน้อยกว่า 300 ก็จะส่งผลให้ไม่มีคนทำงานมากเข้าไปใหญ่ เพราะ 300 ยังกำลังผลิตไม่มากพอที่ทุนใหญ่เขาต้องการเลย

สมมติผมไม่มีทางเลือกจริงๆ โอกาสการศึกษาก็สู้เขาไม่ได้ เส้นก็ไม่มี จบ ป.6 มา แล้วถ้าเข้าโรงงานได้ค่าแรง 200 ผมคงเลือกไปควงกะขับแท็กซี่มากกว่า

ตรงนี้ ต้องถามว่า ผู้บริหารเศรษฐกิจไทยที่ดีกว่า ฉลาดกว่า ประเสริฐกว่าชาวบ้านเขาเนี่ย มองเห็นและจัดการกับการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างแรงงานไทยแบบนี้หรือยัง? หรือเอาแต่โทษค่าแรง 300 แล้วใช้งานต่อต้านข่าวกรอง

งานปฏิบัติการข่าวสาร (IO) ของทหารไปอุดปากและหลอกลวงชาวบ้านเขาอยู่

เรื่องนี้ต้องพูดความจริง และช่วยกันแก้ไข ยิ่งรับความจริงช้า ยิ่งมีปัญหายาวแน่นอนครับ

สุดท้ายต่อให้ด่ากัน ให้เกลียดกันแค่ไหน ผมเชื่อว่าคนไทยยังไงก็ไม่ทิ้งกันหรอกครับ
….
เพราะคงไม่มีคนไทยคนไหนอยากทำลายฝ่ายตรงข้ามเสียจนยอมเผาบ้าน ทำลายชาติตนเองทิ้งหรอก

….