ธุรกิจบนสงคราม

โดย อ.บรรจง บินกาซัน
ที่มา/ติดตาม https://www.facebook.com/Banjong.Binkason


 

สงครามเป็นกิจกรรมการเมืองอย่างหนึ่งเมื่อคนสองฝ่ายไม่สามารถตกลงกันได้ด้วย การเจรจา การทำสงครามแต่ละครั้งต้องใช้เงินจำนวนมหาศาล รัฐบาลจึงจำเป็นต้องกู้เงินเพื่อซื้ออาวุธยุทโธปกรณ์ ดังนั้น เมื่อสงครามจบ รัฐบาลที่ทำสงครามไม่ว่าจะเป็นฝ่ายแพ้หรือชนะจึงต้องมีหนี้ให้ประชาชนที่รอด ชีวิตจากสงครามเป็นผู้ชดใช้ ผู้ได้ประโยชน์โดยแท้จริงคือพ่อค้าอาวุธและกลุ่มนักการเงินหรือนายธนาคารที่ ปล่อยเงินกู้ให้แก่รัฐบาลทั้งสองฝ่ายที่ทำสงครามกัน

สมัยที่อังกฤษทำสงครามต้านการขยายอาณาจักรฝรั่งเศส ทั้งสองฝ่ายต่างก็อาศัยเงินกู้จากนายธนาคารตระกูลร็อธไชล์ด ในสมรภูมิทางเรือที่แหลมทราฟัลการ์อันลือชื่อ อังกฤษส่งลอร์ด เนลสัน แม่ทัพเรือไปต้านกองทัพเรือของฝรั่งเศส ขณะที่กองทัพเรืออังกฤษกำลังได้ชัยชนะ แต่ลอร์ด เนลสันเสียชีวิตในสมรภูมิ พวกนายธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้ของประเทศคู่สงครามได้ส่งคนไปปล่อยข่าวในลอนดอน ว่าอังกฤษกำลังได้รับความพ่ายแพ้และฝรั่งเศสจะบุกอังกฤษ

เท่านั้นเอง ความโกลาหลก็เกิดขึ้นในตลาดหุ้นของอังกฤษ ราคาหุ้นตกฮวบเพราะผู้คนแย่งกันขายเนื่องจากเกรงว่าทรัพย์สินจะถูกฝรั่งเศส ยึด จังหวะนั้นเอง พวกนักการเงินและนายธนาคารจึงเข้ามาช้อนซื้อหุ้นเข้าฮุบกิจการไปในราคาถูกๆ เป็นผลพลอยได้แถมกับดอกเบี้ยที่รัฐบาลอังกฤษและฝรั่งเศสต้องจ่ายให้ตน หลังจากนั้นอีกไม่นาน พวกนักการเงินและนายธนาคารเหล่านี้เองก็วางแผนเข้าไปตั้งธนาคารกลางใน สหรัฐอเมริกา

สงครามโลกครั้งที่ 2 เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในยุโรป ฝ่ายพันธมิตรและฝ่ายอักษะต่างได้รับความบอบช้ำจากสงครามทั้งคู่ ในเวลานั้น สหรัฐอเมริกาไม่ได้เข้าไปทำสงครามในยุโรปด้วย แต่สหรัฐผลิตอาวุธยุทโธปกรณ์ส่งไปขายให้คนยุโรปสองฝ่ายใช้เข่นฆ่าสังหารกัน ผู้ได้ประโยชน์ในเวลานั้นคือพวกพ่อค้าอาวุธชาวอเมริกัน และหนึ่งในนั้นคือนายเพรสคอตต์ บุช เป็นผู้วิ่งเต้นขายอาวุธให้เยอรมัน นายเพรสคอตต์ บุชผู้นี้คือปู่ของนายยอร์จ ดับเบิลยู บุช อดีตประธานาธิบดีของสหรัฐ

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐอเมริกาจึงเป็นชาติที่มั่งคั่งจากอุตสาหกรรมจนชาติต่างๆทั่วโลกอยาก ค้าขายด้วย แต่เมื่อต้องทำการค้า โลกจำเป็นต้องมีสกุลเงินสากลเพื่อใช้อ้างอิงในการชำระราคาสินค้า ประเทศต่างๆจึงส่งตัวแทนของตนไปประชุมกันที่เมืองเบรตตันวูด รัฐนิวแฮมไชร์ใน ค.ศ.1944 และตกลงกันว่าจะใช้เงินสกุลดอลล่าร์สหรัฐในการซื้อขายระหว่างประเทศ โดยทุกประเทศตกลงกันว่าทองคำ 1 ออนซ์เท่ากับ 35 ดอลล่าร์สหรัฐ

ดังนั้น ถ้าประเทศใดต้องการเงิน 35 ดอลล่าร์สหรัฐก็ต้องเอาทองคำ 1 ออนซ์ไปเก็บสำรองไว้ที่นิวยอร์ค ด้วยเหตุนี้ ทองคำจากประเทศต่างๆทั่วโลกจึงไหลไปอยู่ในคลังของธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟที่ถูกจัดตั้งขึ้นตั้งแต่ ค.ศ.1912 และได้รับมอบอำนาจให้พิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์ในฐานะธนาคารกลาง มีคนน้อยนักที่รู้ว่าธนาคารเฟดเดอรัล รีเสิร์ฟนี้มิได้เป็นของรัฐบาล แต่เป็นของกลุ่มนักการเงินและนายธนาคารที่เป็นเจ้าหนี้รายใหญ่ของชาติต่างๆ ในยุโรปที่บอบช้ำจากการทำสงครามก่อนหน้านี้

ยังไม่ทันที่ชาติยุโรปจะใช้หนี้จากการทำสงครามได้หมด สงครามโลกครั้งที่ 2 ก็เกิดขึ้นในยุโรปอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ สหรัฐเข้าร่วมด้วย แต่เข้ามาในช่วงที่สงครามกำลังจะจบและฉวยโอกาสทดลองระเบิดปรมาณูที่เมืองฮิ โรชิมาและนางาซากิ ระเบิดปรมาณูสองลูกที่สังหารชาวญี่ปุ่นไปประมาณสามแสนคนนี้เองได้ทำให้สหรัฐ กลายเป็นชาติมหาอำนาจของโลกไปในทันที

หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 มีสงครามเย็นหรือสงครามตัวแทนเกิดขึ้น สหรัฐทำสงครามเวียตนามโดยที่เวียตนามไม่เคยรุกรานสหรัฐ ขณะเดียวกัน สหรัฐก็กำลังบุกเบิกโครงการอวกาศ สองเรื่องนี้ทำให้รัฐบาลสหรัฐจำเป็นต้องใช้เงินมหาศาล แต่การเก็บภาษีอย่างเดียวไม่ทันการ ในที่สุดรัฐบาลสหรัฐจึงต้องกู้จากธนาคารเฟดเดอรัลรีเสิร์ฟ

ความต้องการเงินจำนวนมหาศาลทำให้ธนาคารเฟดเดอรัลต้องพิมพ์ดอลล่าร์ออกมาตอบ สนอง แต่การพิมพ์เงินดอลล่าร์มิได้เป็นไปตามข้อตกลงที่รัฐบาลสหรัฐทำกับชาติต่างๆ ไว้ กล่าวคือ เงินดอลล่าร์ถูกพิมพ์ออกมาเกินกว่าทองคำสำรองซึ่งทำให้ชาติต่างๆเริ่มไม้ไว้ วางใจเงินดอลล่าร์สหรัฐ และยิ่งเมื่อประธานาธิบดีริชาร์ด นิกสันได้ออกมาประกาศใน ค.ศ.1972 ว่าสหรัฐอเมริกาจะพิมพ์ธนบัตรดอลล่าร์ออกมาโดยไม่ใช้ทองคำหนุนหลังอีกต่อไป ค่าของเงินดอลล่าร์ของสหรัฐก็เริ่มกลายเป็นเศษกระดาษเปื้อนหมึกในสายตาของ ชาติต่างๆ

ยิ่งเมื่อบางประเทศนำเงินดอลล่าร์สหรัฐไปแลกทองคำที่นำไปสำรองไว้กลับคืนจาก สหรัฐ แต่กลับแลกไม่ได้ ประเทศต่างๆก็เริ่มรู้ว่าตัวเองถูกปล้นแล้ว นับแต่นั้นมา การปฏิเสธที่จะรับเงินดอลล่าร์สหรัฐก็แพร่กระจายไปทั่วโลก ขณะนี้ มีนักวิชาการสหรัฐพูดจริงหรือพูดติดตลกก็ไม่แน่ใจว่าในประเทศแซมเบีย ใครถือธนบัตรดอลล่าร์ไว้ถือว่ามีความผิดเหมือนกับถือเงินปลอมนั่นเอง

ทางเลือกขณะนี้ของรัฐบาลสหรัฐก็คือการหาทองคำไปสำรองให้เท่ากับข้อตกลงที่ทำ ไว้กับชาติต่างๆที่เมืองเบรตตันวูด ซึ่งเป็นเรื่องยาก เพราะตอนนี้จีน รัสเซียและอินเดีย ตุนทองคำไว้สำรองมากมายมหาศาลและสหรัฐไม่สามารถเอาดอลลาร์ไปซื้อทองคำได้อีก แล้ว สถานการณ์จึงบังคับให้สหรัฐต้องหาสาเหตุเข้าไปยึดบ่อน้ำมันเพื่อต่อรองซึ่ง จีนและรัสเซียก็ไม่ยอม เมื่อยักตื้นติดกึก ยักลึกติดกัก ยิ่งปล้นยิ่งต้องกู้ ยิ่งกู้ก็ยิ่งเป็นหนี้

เป็นเช่นนี้แล้ว อะไรจะเกิดขึ้นในอนาคตและใครที่จะได้ประโยชน์ ทุกคนคงพอนึกออก