พิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศไทย ตามโรดแม็ปเฟสแรกของ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)ภายใต้การนำของ “บิ๊กตู่”พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ.และหัวหน้าคสช.ถือว่าเป็นไปด้วยความราบรื่น
บรรยากาศการเมืองช่วงกว่า 2 เดือนที่ผ่านมา ต้องบอกว่าไร้คลื่นลมแปรปรวนด้วยอำนาจพิเศษจากคำสั่งและประกาศ คสช. ที่ออกมารวมแล้วร่วม 200 ฉบับ
แสดงให้เห็นว่าการทำรัฐประหารยึดอำนาจครั้งนี้ “ไม่มีหน่อมแน้ม” เตรียมการบ้านมาดี
ด้วยอาการนิ่งสงบของ 2 ขั้วอำนาจการเมืองเก่า ฟากหนึ่งก็เป็นฝ่ายพรรคเพื่อไทยจนถึงวันนี้ยังเก็บปากสงบคำ ไม่ออกมาสร้างแรงกระเพื่อมใดๆ
และความเคลื่อนไหวล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีนายใหญ่ของขั้วอำนาจนี้ ก็หลบมุมร้อนไปจัดแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันไกลถึงกรุงปารีส ฝรั่งเศส ซึ่งก็จะมีแต่กลุ่มญาติมิตรที่สนิทสนมกันจริงๆเท่านั้นที่จะบินไปร่วมอวยพรวันเกิด ส่วนคนในเครือข่ายไม่ว่าจะเป็นจากพรรคเพื่อไทยหรือบรรดาแกนนำกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ก็คงได้แต่อวยพรผ่านช่องทางโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก
แต่ที่ฝ่ายขั้วตรงข้ามจับจ้องมากที่สุดก็คือ คำร้องขอต่อ คสช.ขอเดินทางออกนอกประเทศไปทัวร์ยุโรป ระหว่างวันที่ 20 ก.ค. – 10 ส.ค.ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกฯ ตั้งใจจะหอบหิ้ว“น้องไปก์” ด.ช.ศุภเศกข์ อมรฉัตร บุตรชายไปเที่ยวด้วยซึ่งก็เป็นช่วงเวลาการฉลองวันเกิดของพี่ชายพอดิบพอดี โดยที่ก่อนหน้านี้ “เจ๊แดง”นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาวอีกคน รวมถึงคนใกล้ชิดคนอื่นก็ยื่นคำร้องขอไปแล้ว และคสช.ก็ไฟเขียวผ่านตลอด
และช่างเป็นความบังเอิญที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.)ลัดคิวลงมติชี้มูลความผิดกันแบบสายฟ้าแลบ โดยมีมติ 7 ต่อ 0 เชือดอดีตนายกฯยิ่งลักษณ์ ว่ามีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157 ฐานปล่อยปละละเลยให้เกิดการทุจริตโครงการรับจำนำข้าวตั้งตัวเลขความเสียหายมหาศาลกว่า 5 แสนล้านบาท
พร้อมกับส่งเรื่องให้อัยการสูงสุด ดำเนินการส่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่อไป
จังหวะก้ำกึ่งแบบนี้ ก็เลยมีการดักทางจากเครือข่ายขั้วตรงข้ามว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ อาจใช้จังหวะนี้ หลบหนีคดีอยู่เมืองนอก เช่นเดียวกับพี่ชายจนน.ส.ยิ่งลักษณ์ ต้องออกโรงแถลงดับกระแสข่าวนี้ด้วยตัวเอง
โดยรูปการณ์แล้ว คงเป็นเพียงจินตนาการของขั้วตรงข้ามเพราะคดีทุจริตโครงการรับจำนำข้าวยังต้องผ่านอีกหลายขั้นตอนกว่าจะถึงวันชี้เป็นชี้ตายพิพากษาขั้นสุดท้ายในศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง
ขณะเดียวกัน คสช.เองก็คงประเมินแล้วว่าสามารถควบคุม“จิตพิสัยการเมือง”ขั้วนี้ได้ จึงเปิดไฟเขียวผ่านตลอด ปล่อยผีกันสบายๆ
สถานการณ์ ณ ห้วงนี้ จึงยังไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น
สอดคล้องกับความเคลื่อนไหวที่เข้าทางกับอาการอยากปลีกวิเวกของ “กำนันเทือก” นายสุเทพเทือกสุบรรณ แกนนำกลุ่มกปปส. หลบไปบวชเงียบๆ ที่วัดท่าไทรอ.กาญจนดิษฐ์ จ.สุราษร์ธานี ก่อนย้ายไปจำพรรษาที่วัดธารน้ำไหล (สวนโมกขพลาราม) จ.สุราษฎร์ธานี บ้านเกิดได้ฉายา“ปภากโร” หรือผู้ก่อให้เกิดแสงสว่างโดยไร้กำหนดการลาสิกขาบท
สร้างเซอร์ไพรส์กันไปทั้งประเทศ!!!!
ท่ามกลางข่าวหลายกระแส ทางหนึ่งก็มองว่า นายสุเทพบวชแก้บน หรือเอาเคล็ด เพราะมีพระทักว่าดวงถึงฆาต หากไม่บวชจะต้องมีอันเป็นไป
แต่อีกสายหนึ่งก็บอกว่าบวชเพราะต้องการบวชอุทิศส่วนกุศลให้คนที่เสียชีวิตจากการร่วมชุมนุมกับม็อบกปปส. แต่กับการบวชแบบกระทันหันอย่างนี้ย่อมมีคำถามว่าการบวชหลังวันเข้าพรรษา แหวกประเพณีปฏิบัติมีวาระแฝงเรื่องการหลบเลี่ยงคดีความทั้งหลายหรือไม่
เมื่อการเมือง 2 ขั้วนิ่งอย่างนี้ เครือข่ายทักษิณก็ยอมหลบลมร้อนส่วนขั้วประชาธิปัตย์-กปปส. ก็ยอมปลีกวิเวก หายไปจากกระแสพักใหญ่โรดแม็ปที่คสช.วางไว้ก็ไม่น่าจะมีคลื่นลมรบกวน
ขณะที่การเดินหน้าปั่นแต้มให้กับ คสช. ก็ดำเนินไปทุกขณะซึ่งระยะแรกยังเป็นเพียงการแก้ปัญหาในระยะเร่งด่วน ปัญหาที่ฉาบอยู่ผิวหน้าแต่ก็โดนใจคนทั่วไปทั้งที่ยังไม่ได้แตะลงไปถึงเนื้อในของปัญหาเชิงโครงสร้างซึ่งก็คงต้องให้เวลามากกว่านี้ เพราะ“บิ๊กตู่”ประกาศชัดว่างานส่วนนั้นจะอยู่ในช่วงโรดแม็ปเฟส 2
กว่าจะถึงจุดนั้น ก็ต้องมีรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทยฉบับชั่วคราวออกมาบังคับใช้ก่อน โดยอยู่ในขั้นตอนนำร่างรัฐธรรมนูญฯ ขึ้นทูลเกล้าฯถวายและทันทีที่มีผลบังคับใช้ก็ต้องเข้าสู่ขั้นตอนการแต่งตั้งสภานิติบัญญัติแห่งชาติ(สนช.)เพื่อดำเนินการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรี ขึ้นมาฟอร์มคณะรัฐมนตรีเป็นรัฐบาล
สถานการณ์เดินมาถึงจุด“ปรับโหมดอำนาจ”
จากเดิมที่ใช้อำนาจพิเศษคุมสถานการณ์ได้อยู่หมัดแต่เมื่อถึงไฟท์บังคับให้ต้องยอมคายอำนาจพิเศษโดยการฟอร์มรัฐบาลจัดตั้งครม. ก็คงฝืนธรรมชาติต่อไปได้ยากถึงแม้ช่วงใกล้จะเปลี่ยนผ่านอำนาจแต่คสช.ก็ยังแสดงอาการให้เห็นถึงความหวั่นวิตก
จึงออกคำสั่ง คสช.ฉบับที่ 97/2557 มาสำทับกับคำสั่งที่ออกมาก่อนหน้าเนื้อหาใจความหลักๆก็คือหวังจะควบคุมการนำเสนอข่าวสารของสื่อมวลชนทุกประเภท ทั้งสื่อทีวีหลักทีวีดิจิตอล ทีวีดาวเทียม วิทยุ หนังสือพิมพ์ สื่อออนไลน์และอาจลามไปถึงโลกโซเชียลเน็ตเวิร์ก
แม้ในทางลึกคนใกล้ชิด“บิ๊กตู่” จะยืนยันว่า“ยังคงมีแผนปฏิบัติการรองรับ” เอาไว้รับมือกับบรรดาสื่อทั้งหลาย อีกหลากหลายมาตรการแต่เชื่อแน่ว่าปมคาใจเรื่องการรื้อรังนกกระจอกของสื่อมวลชนประจำทำเนียบรัฐบาล เพื่อปรับภูมิทัศน์ใหม่ รองรับการเข้ามาทำงานของ “รัฐบาลคสช.” จะทำให้การประสานขอความร่วมมือนำเสนอข่าวไม่เป็นไปตามวาดหวังแน่
นอกจากนี้ตามโปรแกรมยังต้องจะตั้งสภาปฏิรูปประเทศซึ่งห้วงเวลานี้ถือเป็นช่วงแบ่งเค้ก จัดสรรเก้าอี้เป็นนาทีทองของพวกนักวิ่ง และพวกที่จ้องรอรับรางวัลทั้งหลายแน่นอนว่าการแบ่งเค้กอำนาจไม่มีทางสมหวังได้ทุกคนย่อมต้องมีแรงกระเพื่อมเป็นธรรมดาและยิ่งกับการขอปลีกวิเวกเอาในช่วงเวลานี้พอดิบพอดี ของ“กำนันเทือก” ก็ยิ่งทำให้นักวิ่งในกลุ่มก้อนนี้ ขาดมือดีลระดับ“บิ๊กดีลเลอร์”
สถานการณ์จึงดูเหมือนเป็นใจไปซะหมดสำหรับ “บิ๊กตู่” ทุกอย่างอยู่ในกำมือหมด
ดังนั้นงานนี้จะเสียของหรือไม่ ก็อยู่ที่“บิ๊กตู่”แต่เพียงผู้เดียวถ้าตั้งลำโดยตัดประเด็นผลประโยชน์ต่างตอบแทนได้แล้วไปดึงเอาพวกที่สังคมพอจะให้การยอมรับได้มาช่วยงาน ทั้งใน“ดรีมทีมครม.” สนช. และสภาปฏิรูปฯ ก็เบาใจได้ว่ากระแสต้านก็คงแผ่วเบาลงไปเรื่อยๆแต่ในทางกลับกัน หากทำตรงกันข้าม ผลลัพท์ก็ย่อมออกมาเป็นหน้ามือกับหลังมือ
แต่โจทย์ที่ยากเย็นแสนเข็ญยิ่งกว่าก็คือ จะตัดสินใจวางสถานะของตัวเองในหมากเกมอำนาจบนทาง 3 แพร่งนี้อย่างไร วันนี้ยังคงสวมหมวกหัวหน้าคสช.และแน่นอนว่าวางคิวขึ้นนั่งเป็นนายกรัฐมนตรีเองแน่นอน แต่อีกเก้าอี้คือผบ.ทบ. ยังคงมีการปล่อยข่าวลือข่าวลวงแบบลับลวงพราง ออกมาหลายสูตรทั้งนั่งควบมัน 3 เก้าอี้ไปเลย ด้วยการต่ออายุเป็น ผบ.ทบ.ไปอีก 1 ปี
หากเป็นตามสูตรนี้ เชื่อว่าจะสร้างความอึดอัดคับข้องใจให้กับน้องๆในกองทัพที่ไม่สามารถขยับขยายกันได้ หรือจะยอมคายเก้าอี้ ผบ.ทบ.เพื่อให้บรรดาน้องรักที่มีรายชื่อเป็นแคนดิเดต ผบ.ทบ. ทั้ง“บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รองผบ.ทบ. เลขาธิการคสช.น้องรักในสายเลือดทหารเสือราชินี หรือ “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายาผู้ช่วยผบ.ทบ. หัวหน้าฝ่ายกฎหมายคสช. น้องรักอีกคนจากสายวงศ์เทวัญ
ถึงวันนี้ยังพอมีเวลาให้ได้ตัดสินใจอีกนาน
แต่จุดที่ต้องโฟกัสก่อนอื่นก็คือ การฟอร์มครม.ที่ไม่น่าจะนานไปกว่านี้ได้อีกเท่าที่ดูก็น่าจะเป็นครม.รักษ์โลก ที่เต็มไปด้วยเหล่าบิ๊กทหารจากกองทัพ
ไม่ว่าจะเป็นเก้าอี้รองนายกฯในฝ่ายต่างๆ ทั้ง พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง ผบ.ทอ.หัวหน้าทีมเศรษฐกิจคสช. พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย ผบ.ทร.รองหัวหน้าคสช.รับผิดชอบงานด้านสังคมจิตวิทยา พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกรผบ.ทหารสูงสุด รองหัวหน้าคสช. รับผิดชอบงานด้านความมั่นคง พล.ต.อ.อดุลย์แสงสิงแก้ว รองหัวหน้าคสช.ฝ่ายกิจการพิเศษ
เช่นเดียวกับพล.อ.อุดมเดช พล.อ.ไพบูลย์ รวมไปถึงพล.อ.ฉัตรชัย สาริกัลยะผู้ช่วยผบ.ทบ. รองหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจคสช.ก็ต้องมีชื่ออยู่ในครม.ชุดใหม่ที่จะตั้งขึ้นหลังจากคสช.ออกคำสั่งเปิดช่องให้ข้าราชการนั่งตำแหน่งในฝ่ายบริหารได้
แต่ขาดไม่ได้คือพวกมือบริหารมืออาชีพ ที่จะมาเสริมสร้างภาพลักษณ์ไม่ให้เป็นแค่ ครม.รักษ์โลก ก็คือกลุ่มเทคโนแครต มืออาชีพด้านบริหาร อย่างนายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ ม.ร.ว.ปรีดิยาธร เทวกุล นายณรงค์ชัย อัครเศรณีคนเหล่านี้ต้องมาช่วยคุมงานด้านเศรษฐกิจแน่นอน
ขณะที่งานด้านกฎหมายก็คงหนีไม่พ้นพวก นายวิษณุ เครืองาม กุนซือกฎหมายของคสช.นายบวรศักดิ์ อุวรรณโณ นายสุรพล นิติไกรพจน์อยู่ที่ว่าจะจัดใครไปคุมเกมตรงไหน ทั้งในสนช. หรือสภาปฏิรูป
ทั้งหมดนี้จะเป็นบทพิสูจน์ตัวพล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะเป็นทองแท้จริงหรือไม่
เพราะทองแท้ย่อมไม่กลัวไฟ หรือก้อนหินที่จะมาลองทอง !!!