โดย คอดีเยาะห์ สตูล
สถานที่ท่องเที่ยวที่มีสภาพสวยงามบริสุทธิ์มีไม่กี่แห่งนักที่ยังคงความ บริสุทธิ์ได้ตลอดรอดฝั่ง เพราะนั่นย่อมเป็นไปตามกฏของธรรมชาติที่ทุกอย่าง ต้องเปลี่ยนแปลงไม่ว่าจะเปลี่ยนจากสวยงามเป็นเสื่อมโทรมหรือจากที่แย่ เปลี่ยนเป็นดี
แต่สำหรับเกาะตะรุเตาแห่งนี้ถือว่ามีความโดดเด่นจากอดีตอันเลวร้ายจนได้ขนาน นามว่า “นรกตะรุเตา” กลับ กลายเป็นสวรรค์ของนักเที่ยว ที่หลายคนอยากเข้ามาสัมผัสธรรมชาติอันแสนจะบริสุทธิ์ และก็ไม่ผิดหวังตะรุเตายังคงมีมนต์ขลังให้นักท่องเที่ยวที่เข้ามาเยือนแล้ว ต้องกลับมาเยือนอีกครั้ง
อุทยาน แห่งชาติตะรุเตา ประกอบด้วยเกาะน้อยใหญ่กว่า 50 เกาะ แบ่งเป็นหมู่เกาะใหญ่ๆได้ 2 หมู่เกาะ คือ หมู่เกาะตะรุเตา และหมู่เกาะอาดัง-ราวี เป็นพื้นที่อุทยานที่ มีชื่อเสียงทางด้านประวัติศาสตร์และความสวยงามของธรรมชาติ ทั้งจากบนเกาะที่เป็นป่าดิบเขียวขจี อ่าวที่มีหาดทรายขาวสวยเมื่อมองจากจุดชมวิวจะเห็นภูมิทัศน์ที่งดงาม ยิ่งภายใต้ผืนน้ำมีแนวปะการังทั้งน้ำตื้นและน้ำลึกเต็มไปด้วยฝูงปลานานาชนิดสีสัน สวยงามเป็นสังคมใต้ทะเลที่สร้างความตื่นตาให้กับผู้มาเยือนเป็นอย่างมาก เมื่อปี พ.ศ.2525 องค์การยูเนสโกได้ยกย่องให้เป็นมรดกแห่งอาเซียน ( ASEAN Heritage Parks and Reserves )
อุทยานแห่งชาติตะรุเตามีที่ท่องเที่ยวที่มีเอกลักษณ์เฉพาะน่าสนใจมากมายกระจายอยู่ ทั่วพื้นที่เช่นเกาะตะรุเตาซึ่งเป็นเกาะประวัติศาสตร์และยังมีอ่าวที่มีหาด ทรายสวยงามเรียงรายเกือบรอบเกาะ เกาะไข่ที่มีซุ้มประตูหินธรรมชาติทอดโค้งจากผืนทรายจรดน้ำ เกาะหลีเป๊ะที่มีสมญาว่า มัลดีฟเมืองไทย เกาะราวีที่มีหาดทรายขาว น้ำใส ปะการังสวย เกาะอาดัง มีหาดทรายขาวละเอียดมีแนวปะการังอยู่รอบเกาะ เหมาะสำหรับดำน้ำตื้นและมีจุดชมทิวทัศน์ผาชะโดที่เห็นความงามของท้องทะเลและ เกาะใกล้เคียงตัวอย่างที่ยกมานี้เพียงเล็กน้อยเท่านั้นตะรุเตายังมีที่ สวยงามอีกมากให้ได้ชื่นชมอย่างเต็มอิ่มคุ้มค่ากับการเดินทาง
คำว่า “ตะรุเตา” เพี้ยน มาจากคำว่าตะโละเตรา ในภาษามลายูแปลว่ามีอ่าวมาก
นอกจากสภาพธรรมชาติที่อุดมสมบูรณ์แล้ว เกาะตะรุเตายังมีประวัติศาสตร์ท่าจดจำโดยในปีพ.ศ2479 รัฐบาลมีนโยบายให้กรมราชทัณฑ์จัดหาสถานที่เพื่อจัดตั้งนิคมฝึกอาชีพและเป็น สถานที่กักกันนักโทษ เกาะตะรุเตา จึงมีชัยภูมิที่เหมาะสม เป็นเกาะขังนักโทษแบบเปิด ใช้ทะเลเป็นกำแพงกั้นป้องกันการหลบหนี มีฉลามและสัตว์น้ำนานาชนิดเป็นผู้คุมชนิดที่หากนักโทษคนได้ข้ามกำแพงคุกตะรุเตาไปได้ก็ไม่สามารถรอดพ้นเงื้อมมือผู้คุมที่ว่ายชุกชุมอยู่ในทะเลได้
ใน ปีพ.ศ2481 นักโทษชุดแรกจำนวน 500 คน ได้เดินทางมายังเกาะตะรุเตาและทยอยเข้ามาเรื่อยๆ จนปีพ.ศ.2482 รัฐบาลได้ส่งนักโทษการเมือง 70 คนซึ่งเป็นนักโทษจากเหตุการณ์กบฎบวรเดชและกบฏนายสิบมากักบริเวณอยู่ที่อ่าว ตะโละอุดัง ปีพ.ศ 2484 สงครามโลกครั้งที่ 2 ส่งผลกระทบต่อนิคมฝึกอาชีพ เกิดความขาดแคลนอาหารและยารักษาโรค นักโทษเจ็บป่วยล้มตายเป็นจำนวนมาก ส่วนหนึ่งก็ออกปล้นสะดมเรือสินค้าที่ผ่านไปมาในบริเวณน่านน้ำช่องแคบมะละกา จนเรือสินค้าไม่กล้าผ่าน
ปีพ.ศ.2489 รัฐบาลอังกฤษซึ่งปกครองมลายูขณะนี้ได้ขออนุญาติรัฐบาลไทยส่งกำลังเข้าปราบ โจรสลัดตะรุเตาจนสำเร็ว กรมราชทัณฑ์ได้ประกาศยกเลิกเป็นนิคมฝึกอาชีพ เกาะตะรุเตาถูกทิ้งร้างนาน กว่า 26 ปี ในปี2517 กรมป่าไม้จึงได้ประกาศตั้งเป็นอุทยานแห่งชาติตะรุเตาขึ้น และเป็นอุทยานแห่งชาติทางทะเลแห่งแรกของประเทศไทย
จากนรกในอดีต ปัจจุบันเกาะตะรุเตากลายเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวทั่วทุกสารทิศทั้งไทยและ ต่างชาติ ความสวยงามในปัจจุบันบวกกับอดีตอันเลวร้าย ส่งผลให้ชื่อของอุทยานฯตะรุเตา กลายเป็นที่กล่าวขาน อยากเข้ามาสัมผัสแต่ละปีนำเม็ดเงินเข้าพัฒนาจังหวัดอย่างมหาศาล เกาะตะรุเตาจึงกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่โดดเด่นและชาวโลกรู้จักมากกว่าชื่อของจังหวัดสตูลเสียด้วยซ้ำ
ด้วยความที่สร้างประโยชน์ให้จังหวัดอย่าง มหาศาล นาย สุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล พ่อเมืองสตูลได้จับมือกับนาย ณัฐพล รัตนพันธ์ หัวหน้าอุทยานฯตะรุเตา ได้จัดกิจกรรมย้อนรอยประวัติศาสตร์จากอดีตถึงปัจจุบันที่ยาวนานกว่า70ปี ทำบุญอุทิศส่วนกุศลทั้งศาสนาพุทธและอิสลามให้กับนักโทษที่เสียชีวิต
นายสุเมธ ชัยเลิศวณิชกุล ผวจ.สตูลกล่าวว่า “อุ ทยานฯตะรุเตา ดึงเม็ดเงินเข้าจังหวัดปีละเป็นพันล้าน เราไม่มีการทำบุญให้กับผู้ที่เคยอยู่บนเกาะแห่งนี้ถึงแม้นว่าเขาจะเป็น นักโทษก็ตาม โดยนักโทษที่เสียชีวิตบนเกาะตะรุเตาส่วนใหญ่ตายด้วยไข้มาลาเรียและอดตาย จำนวน 700 ศพจึงเห็นพ้องกันว่าควรมีการทำบุญครั้งใหญ่อุทิศให้กับผู้เสียชีวิตบนเกาะ แห่งนี้ จึงมีการจัดให้ทำบุญกันขึ้นโดยศาสนาพุทธทำ ณ บริเวณอ่าวตะโละวาวและศาสนาอิสลามทำบริเวณเรือนพักผู้คุม โดยทำบุญเมื่อกลางเดือนพ.ค.53 ที่ผ่านมา มีประชาชนและนักท่องเที่ยวทั้งพุทธและอิสลามเข้าร่วม กว่า 300 คนเพื่อ เป็นการทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้กับนักโทษที่เสียชีวิตดังกล่าวก่อนที่จะมีการ ปิดเกาะช่วงมรสุม ต้องการเผยแพร่ให้คนรุ่นหลังได้รู้จักประวัติศาสตร์ของตะรุเตาในอดีต”
เกาะตะ รุเตาในอดีตเป็นนรกที่คุมขังนักโทษ แต่ในปัจจุบันมีความสวยงาม เป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยว ซึ่งทางอุทยานฯได้ประกาศปิดเกาะที่สำคัญในช่วงฤดูมรสุม นายสมเกียรติ ศรีแสง หัวหน้างานศูนย์บริการนักท่องเที่ยว อุทยานแห่งชาติหมู่เกาะตะรุเตา กล่าวว่า “อุทยานฯตะรุเตาได้ประกาศปิดฤดูกาลท่องเที่ยวทางทะเล ระหว่างวันที่ 16 พ.ค.53ตามประกาศของกฏกระทรวงและจะเปิดในต้นเดือน พ.ย.53 โดยจะปิดเฉพาะเกาะโซนด้านหลัง เช่นเกาะอาดัง ราวี หาดทรายขาว และเกาะหินซ้อน เพื่อต้องการให้ธรรมชาติบนเกาะดังกล่าวได้พักฟื้นและฟื้น ตัวหลังจากเปิดให้เที่ยวในช่วงไฮซีซั่น โดยเฉพาะในช่วงดังกล่าวเป็นช่วงฤดูมรสุม เกาะดังกล่าวเป็นเกาะที่อยู่ห่างไกลจะเป็นอันตรายจึงต้องประกาศปิดเกาะ”
นาย สมเกียรติ บอกว่า “ตามหลักการแล้วปกติจะเปิด 6เดือนและปิด6เดือน เพื่อให้ธรรมชาติได้พักผ่อนหลังจากถูกตักตวงจากนักท่อง เที่ยว ธรรมชาติทั้งลมและคลื่นจะจัดสรรดูแลให้เกาะต่างๆมีสภาพกลับมาเหมือนเดิม โดยมีเจ้าหน้าที่เป็นตัวเสริมเล็กน้อย และในช่วงดังกล่าวทางเจ้าหน้าที่จะได้ซ่อมแซมต่อเติมบ้านพักต่างๆให้กลับมี สภาพพร้อมใช้งานในช่วงฤดูท่องเที่ยว ส่วนเกาะตะรุเตาและเกาะหลีเป๊ะมีการ เปิดให้นักท่องเที่ยวได้เข้ามาเที่ยวได้ทั้งตลอดทั้งปี”
น.ส. มัตติกา รักขพันธ์ อายุ 23 ปี ชาวนครศรีธรรมราช ที่เข้าร่วมงานวิ่งย้อนรอยประวัติศาสตร์เกาะตะรุเตา บอกว่า รู้จักเกาะตะรุเตา มาจากเพื่อน โดยเพื่อนบอกว่าเกาะนี้มีความสงบอากาศบริสุทธิ์ ไม่มีมลพิษ สภาพธรรมชาติยังสมบูรณ์มาแล้วรู้สึกสบายใจได้พักผ่อนเต็มที่จึงมาร่วมงาน วิ่งย้อนรอยตะรุเตา โดยครั้งนี้มาร่วมเป็นครั้งที่ 2 แล้วและโชคดีที่ปีนี้มีการทำบุญให้กับนักโทษที่เสียชีวิต จึงได้ร่วมทำบุญดังกล่าว ซึ่งการมาร่วมงานวิ่งย้อนรอยประวัติศาสตร์ตะรุเตา เปิดโอกาสให้มีการแข่งวิ่ง จึงได้มากับครอบครัวมาพักผ่อนและมาร่วมแข่งขัน”
น.ส. มัตติกา บอกว่า “ก่อน ที่จะได้มาสัมผัสกับเกาะตะรุเตา ยังคิดว่าคงเหมือนกับทางภูเก็ต มีตึกมากมาย มีความสะดวกสบาย มีถนนมีรถวิ่งขวักไขว่ แต่เมื่อมาก็พบว่าที่แห่งนี้ยังคงเป็นธรรมชาติอย่างแท้จริง รู้สึกปลอดโปร่งสบาย และปีนี้จึงชวนญาติพี่น้องมาร่วมงานและเที่ยวชมธรรมชาติที่เกาะแห่งนี้ และตั้งใจจะมาอีกในปีหน้า”
ธรรมชาติ ได้สร้างสรรค์ความงามขึ้นมา แต่เมื่อคนเข้ามาตักตวงธรรมชาติเหล่านั้น ก็ต้องมองถึงความพอเหมาะพอดี ต้องเลือกระหว่างการพัฒนากับความคงอยู่ของธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม เพราะหากมีการพัฒนาก็ต้องย่อมสูญเสียความเป็นธรรมชาติ แต่ที่นี่ อุทยานแห่งชาติตะรุเตา เลือกแล้วที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศน์ที่ยังคงเน้นธรรมชาติเป็นหลัก หากใครต้องการนอนห้องแอร์แช่น้ำร้อนที่นี่ไม่มีให้ แต่หากต้องการโอโซนบริสุทธิ์สามารถหายใจได้เต็มปอดที่นี่มีบริการ และพร้อมต้อนรับนักท่องเที่ยวที่ต้องการสัมผัสธรรมชาติอย่างแท้จริง
และที่นี่ยังคงเป็นที่คาดหวังของนักท่องเที่ยวในอนาคตว่าจะยังคงสภาพเช่นนี้ ตลอดไปไม่เปลี่ยนแปลง…