แกรนด์มาสเตอร์ของ “ผู้นำรัสเซีย”

คำพูดที่สร้างความระคายเคืองให้กับมหาอำนาจอย่างสหรัฐฯ ฯ ของผู้นำรัสเซียเป็นเสมือนความรู้สึกที่ต้องการจะแสดงออกให้โลกรับรู้ถึง การกระทำอันเกินสิทธิตนเองของนโยบายต่างประเทศของสหรัฐฯ โดยเฉพาะกรณีที่กำลังเกิดขึ้นในซีเรีย ด้วยความเป็น สายลับ “เคจีบี” เก่า และจากประสบการณ์ในช่วงสงครามเย็น ของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” สำหรับเขาชั้นเชิงระหว่างประเทศของสหรัฐฯ จึงเป็นเรื่องที่ไม่ยากเกินจะเข้าใจ แต่จะอย่างไรก็ตามกับสิ่งที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในวิกฤติการณ์ซีเรีย เป็นเหมือนการเดินเกม แบบหมากสามชั้นระหว่างรัสเซียกับสหรัฐฯ ความเชี่ยวชาญ ประสบการณ์ทางการทูตระหว่างผู้นำ เป็นเสมือนยุทธ์ศาสตร์ที่มองไกลออกไปกับการเมืองที่รุมกินโต๊ะชาติมุสลิมใน เวลานี้


สอง ปีแห่งความรุนแรงในประเทศซีเรียเกมที่แสดงให้เห็นคือไพ่ที่อยู่ในมือของ สหรัฐฯ นั้นค่อนข้างจะเหนือกว่า ในช่วงที่ผู้นำรัสเซียคนก่อนอย่าง “ดมิทรี เมดเวเดฟ” (Dmitry Medvedev) กับอำนาจยังยั้ง ในเรื่องมติสหประชาชาติปี 1973 เขตห้ามบินในลิเบีย แต่สิ่งที่โอบามาต้องการจะให้เกิดขึ้นในซีเรียกลับเป็นไปได้ยากกว่า เพราะที่เคยเกิดขึ้นในลิเบียนั้น การแสดงอาการต่อต้าน การเข้ามาช่วยเหลือทางด้านมนุษยธรรมของรัสเซียมีขึ้นเป็นครั้งแรกและอยู่ภาย ใต้การแทรกแซงของสหรัฐฯ ต่อลิเบีย

ใน เวลานั้น ผู้นำรัสเซียคนก่อน อย่าง “ดมิทรี เมดเวเดฟ” ซึ่ง ปฎิเสธ มติสหประชาชาติในปี 1973 อันเป็นพฤติกรรมที่น่ารังเกียจกับสิ่งที่สหรัฐฯ และชาติพันทมิตรกระทำต่อการปกครองของ โมอัมมาร์ กัดดาฟี เป็นการกระทำที่ผิดศีลธรรม เหตุการณ์ในครั้งสหรัฐฯ ปฏิบัติอย่างหาเหตุผลอะไรไม่ได้เลย

เหมือน กับว่าชะตาของ กัดดาฟีถูกกำหนดเอาไว้แล้ว ในเวลานั้นกลุ่มติดอาวุธต่อต้านรัฐบาลซีเรียเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ต่างระหว่างสองผู้นำ รัสเซีย  “วลาดิเมียร์ ปูติน” กับ  “ดมิทรี เมดเวเดฟ” ก็คือ การปกป้องซีเรียของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” มีอย่างเห็นได้ชัด ในส่วนของ “ดมิทรี เมดเวเดฟ” จะเอนตามเกมของสหรัฐฯ และยังเสนอให้ รัฐบาลซีเรีย ปรองดองไกล่เกลี่ยกับกลุ่มต่อต้าน คำพูดในลักษณะเช่นนี้เหมือนกับว่าสิ่งที่เกิดขึ้นในลิเบียคือสิ้นกัดดาฟี เหมือนเป็นลางว่ากำลังจะมาเกิดในซีเรีย หมายถึง รัฐบาลบาชาร์ ของซีเรียกำลังจะเจอแบบเดียวกัน การปรบมือแสดงความสรรเสริญต่อ “ดมิทรี  เมดเวเดฟ” ของ นายโอบามาในตอนนั้นคือทุกอย่างเป็นไปในทิศทางอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการให้เกิดขึ้น

จาก นั้นได้ไม่นาน ในเดือน พฤศจิกายน 2011 ทุกอย่างเปลี่ยนไปเมื่อ “วลาดิเมียร์ ปูติน” เข้ามารับตำแหน่ง ผู้นำรัสเซีย การหักล้าง หักร้างถางพง เปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิง คือไม่เป็นไปอย่างที่สหรัฐฯ ต้องการ เพราะความเจนจัดยุทธวิธีของผู้นำรัสเซีย อย่าง “วลาดิเมียร์ ปูติน” จากนั้นรัสเซียเริ่มที่จะ ให้การสนับสนุนทางด้านอาวุธ และพยายามสกัดกั้น ทุกวิธีทาง ของสหรัฐฯ ที่จะกระทำต่อซีเรีย ทั้งการเจราการทูต แต่ในความคาดหมายของรัสเซียถึงความรุนแรงในซีเรียที่มากขึ้นเรื่อย กลุ่มต่อต้านที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว แต่ในความไม่แน่นอนของสหรัฐฯ ที่จะให้การสนับสนุนกลุ่มต่อต้านหรือกลัวว่าจะเข้ามาครองอำนาจในอนาคตแต่ใน คำเสนอของรัสเซียคือการเจรจาเป็นทางออกที่ดีที่สุด

สิ่ง ที่สหรัฐฯ กับรัสเซียพึงกระทำคือการประชุมกันที่ นครเจนีวา เกี่ยวกับสัญญาสันติภาพเมื่อปีที่แล้ว จากนั้นมีการประชุมตามกันมาอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าเรื่องของอาวุธเคมีจะเป็นการกล่าวหารัฐบาล แต่ด้วยความปรารถนาทั้งหมดคือเปลี่ยนการปกครองโดยให้เหตุผลว่าซีเรียเป็นภัย คุกคาม จากการกระทำทุกวิธีทางภายใต้การฝึกอบรม จัดหาอาวุธของ ซีไอเอ ในระดับที่พอสมควร สิ่งที่เกิดขึ้นอย่างเรื่องอาวุธเคมีนั้นสามารถที่จะกระทำด้วยพลังอำนาจโดย ชอบธรรม เป็นการขีดเส้นตายให้กับ รัฐบาล บาชาร อย่างไม่มีข้อยกเว้น

ความ วิตกกังวลของสหรัฐฯ เมื่อรัสเซียเริ่มที่จะก้าวเข้ามามากขึ้นเรื่อยๆ กับวิกฤติการในซีเรียเป็นเหมือนการใช้อำนาจตามสิทธิเพื่อปกป้องรัฐบาลของ บาชาร อัล-อัสสาด มือที่สามอย่าง สหรัฐฯ  รัสเซีย สหประชาติ ใครมีบทบาทสำคัญในการดับความรุนแรงในซีเรีย ในเมื่อเสถียรภาพทางเศรษฐกิจกับการเมืองของประเทศยังคงหาความมั่นคงไม่ได้ใน สายตาของชาวโลก การไหลทะลักของความรุนแรงที่มีมากขึ้นในภูมิภาค การขับเคลื่อนไปข้างหน้าของผู้นำรัสเซียคนปัจจุบัน ในส่วนตัวของ “วลาดิเมียร์ ปูติน” เป็นผู้นำที่ว่า เก่งกล้าในนโยบายต่างประเทศ เป็นผู้ที่ปลุกความยิ่งใหญ่ของรัสเซียกลับคืนมา ซ้อนความเป็นเผด็จการนิดๆ แต่เพื่ออุดมการณ์ของประเทศในบางครั้งเป็นเรื่องจำเป็น

เป็น ผู้นำรัสเซียที่นำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงอย่างแท้จริง เพราะฉะนั้นการเข้ามาเป็น ผู้นำ ก่อนนี้ อย่าง “เมดเวเดฟ” เป็นเพียง นอมินี  เพราะผู้นำรัสเซียห้ามเกินสองสมัย นั่นเป็นเหตุผล การเข้ามาอย่างผงาดสร้างคุณประโยชน์ให้กับซีเรียเป็นเหมือนเกมที่เดินไปแบบ ถูกทางอาจจะช่วยหยุดความโหดร้ายของสงครามกลาง เมืองในซีเรียได้

เมื่อ มีการเปิดเผยความลับ ถึงการเดินทางเยือน ของ เจ้าชาย บันดาร์ บิน ซุลต่าน ในวันที่ 13 กรกฎาคม 2556เป็นการเดินทางเยือนแบบลับๆ คือต้องการให้รัสเซียหยุดให้การสนับสนุน รัฐบาลซีเรียและจะมอบรางวัลให้เป็น ทรัพยากรนํ้ามัน ปกป้องการส่งแก๊สสู่ยุโรปของรัสเซีย และจะจ่ายเงินซื้ออาวุธกับรัสเซีย เป็นจำนวนเงินมหาศาล

การนำ เสนอของ เจ้า บันดาร์  การสมรู้ร่วมคิดระหว่าง สหรัฐฯ  กับ รัฐบาล ซาอุดิอาระเบีย โดยมี หน่วยสืบราชการลับ ซีไอเอ ผสมอยู่ในหลายบทบาท เป็นเกมที่ เคจีบี เก่า อย่าง ปูติน อ่านเกมและเข้าใจเป็นอย่างดี

การ เยือนของเจ้าชาย บันดาร์ ในเวลานั้นยังมีการพูดถึง การแข่งขันกีฬาโอลิมปิก ในปี 2014 ว่าจะไม่มีการโจมตีจากกบฏเชเชน  สิ่งที่เกิดขึ้นจึงเป็นเหตุให้ รัสเซีย เข้าใจถึงการใช้อาวุธเคมีในวันที่ 21 สิงหาคม และไม่ใช่เรื่องที่รัสเซียจะต้องสงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลัง และอาจจะเป็นอีกหนึ่งสาเหตุว่าทำไมรัสเซียจึงไม่ทิ้งรัฐบาลซีเรีย ทุกช่วงเวลาของสงครามกลางเมืองในซีเรีย การเน้นย้าจากรัสเซียในทุกปฎิบัติการทางทหารเรื่อง ความระมัดระวังตัว รอบคอบ ทั้งในเรื่องการใช้อาวุธ เพราะกำลังโดนการเพ่งเล่งจาก สหรัฐฯ ในทุกการกระทำ และเรื่องก็เกิดขึ้นเมื่อ การใช้อาวุธเคมี ในวันที่ 21 สิงหาคม

ชั้น เชิงทางการเมืองระหว่างประเทศ ความกล้าหาญของ ปูติน เป็นสิ่งที่ บารัค โอบามา ไม่มี สิ่งที่รัฐบาลวอชิงตันทำได้คือ สนับสนุนกลุ่มต่อต้าน กำลังทหาร คำแถลงการณ์ที่วกวน ประเด็นแบบเดิม ไร้ซึ่งเหตุผล การกล่าวอ้างเกี่ยวกับการกล่าวหาว่ารัฐบาลซีเรียเป็นผู้กระทำในขณะที่การ ครอบครองพลังอำนาจทางสื่อเป็นเหมือนสิ่งเดียวที่สหรัฐฯ ทำได้ แต่ความเห็นมติและการรับฟังของสหประชาชาติในหลายกรณีที่รัสเซียพึงปฏิบัติ เป็นเหตุผลที่ดีกว่า และกลับน่าเชื่อถือกว่า

 

การรายงานของ รัสเซีย

การ เปิดเผยข้อเท็จจริงของการรายงานข่าวเกี่ยวกับอาวุธเคมี การเตรียมพร้อมที่จะนำเสนอต่อสหประชาชาติ โดยวิธีการตรวจสอบตามหลักวิทยาศาสตร์ และกรณีในวันที่ 19 มีนาคม ใกล้กับเมือง อเลปโป และการรายงานของรัสเซียที่จะเป็นการยับยั้งการกล่าวหาของสหรัฐฯ ในกรณีวันที่ 21 สิงหาคม ที่มีไม่เพียงพอ ฉะนั้นแล้วบทสรุปของรัสเซีย ต่อสหประชาชาติในหลายกรณีจึงเป็นสิ่งที่มีนํ้าหนักมากกว่า นับว่าเป็นความท้าทายสำคัญของการดำเนินงานโดยรัฐบาลรัสเซียในครั้งนี้ และเป็นเกมการเมืองที่ต่อต้านสหรัฐฯ จากประสบการณ์ของผู้นำรัสเซียเองจนทำให้สถานการณ์เกี่ยวกับ ซีเรียเกือบทุกอย่างกลับมาเท่าเทียม ถึงแม้ว่าหลักฐานอาจจะเป็นความลับในทางการทูตและไม่ใช้เป้าหมายที่จะสร้าง ประเด็นให้กลายเป็นคำวิจารณ์

“หลัก ฐานทั้งหมดเป็นสิ่งจำเป็นที่จะนำเสนอ โดยมิได้มีเพียงเพื่อแก้ต่างในเหตุการณ์ทั้งหมดในการช่วยเหลือ ของ รัสเซีย กับ ซีเรีย แต่เป็นการโต้กลับคำพูดที่หาความจริงไม่ได้เลยกับการกระทำของ รัฐบาลวอชิงตัน”  ปูติน กล่าว

 

ปูติน เหนือกว่า โอบามา

บทบาท ในครั้งนี้เป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นว่าปูตินเล่นดีกว่าโอบามา ในการประชุม G 20 การเตรียมพร้อมด้วยประสบการณ์ของปูตินเอง ที่มิอาจจะให้สหรัฐฯ เดินเกมเพียงฝ่ายเดียวได้อีกต่อไป เป็นเหมือนการเข้ามาทำลายความหวังของ โอบามาเกี่ยวกับ โค่นอำนาจรัฐบาลบาชาร์ ฉะนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นกับ ผู้นำสหรัฐฯ ในเวลานี้คือเสียเครดิต ความน่าเชื่อถือ ครั้งสำคัญในกรณีที่จะถล่มซีเรีย

ภาย หลังการประชุม G 20 สิ่งที่โอบามาได้รับคือความสับสน เพระว่าการออกเสียงของ ปูตินที่เรียกได้ว่าอยู่ในระดับ มาสเตอร์ไลค์ การนำเสนอแบบงดงามเฉียบคม  และการชักจูงให้ รัฐบาลซีเรียให้อยู่ภายใต้การควบคุมในเรื่องอาวุธเคมี สิ่งที่ซีเรียได้ในครั้งนี้ต้องบอกว่าเป็นการใช้เครดิตของรัสเซียแบบเต็มๆ

เสียง ที่ตํ่าลงของสหรัฐฯ ในการใช้กำลังโจมตี ซีเรีย การเสนอของโอบามาไม่สามารถที่จะยอมรับได้ การขีดเส้นตายโดยปราศจากข้อเท็จจริง ฉะนั้นเกมที่จบอย่างงดงามเป็นเหมือนการมีชัยเหนือวอชิงตันของ “วลาดิเมียร์ ปูติน”  แต่ในความหมายโดยนัยของสหรัฐฯ กับรัสเซีย ที่ครอบคลุม ภูมิศาสตร์ทางการเมืองในโลกอาหรับ ซีเรียอาจจะไม่ใช่ประเด็นโดยทั้งหมดของการแข่งขันระหว่าง สหรัฐฯ กับรัสเซีย แต่เป็นเหมือนความคิดเห็นที่ไม่ตรงกัน ฉะนั้นความขัดแย้งในซีเรียเป็นเหมือนเกมที่เปลี่ยนแปลงสู่ศตวรรษใหม การเปลี่ยนแปลงโลกใหม่ ของอเมริกาในความหมายโดยกว้าง การเข้ามาเป็นมือที่สามที่จะเปลี่ยนแปลงโลก

ซึ่งสหรัฐฯ กับรัสเซียยังคงแสดงออกในสงครามตัวแทนแต่ละครั้งจากอดีตจนถึงปัจจุบัน