โครงการวาวร่วมกับ 13 องค์กรร่วมถกถึงเวลาพิสูจน์ด้วยการกระทำ กลไกสหวิชาชีพที่เป็นจริงในยุคโควิด -19 และร่วมรณรงค์วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล สามฝ่ายยึดหลักเดียวกัน ผู้หญิงและเด็กต้องปลอดภัย ปกป้องสิทธิ์อย่างเป็นธรรม
เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2563 ณ โรงแรมปาร์คอินทาวน์ จังหวัดปัตตานี โครงการวาวร่วมกับ 13 องค์กรร่วมถกถึงเวลาพิสูจน์ด้วยการกระทำ กลไกสหวิชาชีพที่เป็นจริงในยุคโควิด -19 และร่วมรณรงค์วันยุติความรุนแรงต่อสตรีสากล ภาครัฐ ประชาสังคม องค์กรศาสนา เป็นหนึ่งเดียวเพื่อการปกป้อง คุ้มครองและให้ความเป็นธรรมผู้หญิงที่ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัวและถูกละเมิดสิทธิจังหวัดชายแดนใต้ พร้อมปาฐกถา โควิด 19 กับการคิด new normal เพื่อแก้ไขความรุนแรงในครอบครัว โดยนางจินตนา จันทร์บำรุง ผู้ตรวจราชการกระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ว่าการจัดกิจกรรมยุติความรุนแรงมีการจัดงานอย่างต่อเนื่องช่วงเดือนพฤศจิกายนของทุกปี เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ตระหนักถึงความรุนแรงในครอบครัว ความเท่าเทียมทางเพศ ได้รับการเยียวยาทุกรูปแบบ กท.พม.มีทิศทางการพัฒนา สร้างความเข้มแข็ง สร้างสังคมดี สังคมมีคุณภาพ ให้ความสำคัญในการสร้างหลักประกัน ส่งเสริมการมีส่วนร่วมของเครือข่ายทุกภาคส่วน ประเด็นความรุนแรงในครอบครัวเป็นประเด็นท้าทาย จากข่าวที่เห็นที่มีความรุนแรงเพิ่มขึ้นทุกวัน ต้องเริ่มที่ตัวเราก่อน สร้างจิตสำนึกได้อย่างไร จะเป็นเสียงหนึ่งที่จะทำให้เกิดการป้องกันและเยียวยาเมื่อเกิดปัญหา จากปัญหาโรคระบาดโควิด ทำให้เกิดการปรับวิถีชีวิต ปัญหาในครอบครัวในช่วงโควิดก็จะยากขึ้นไปอีก จะเอารูปแบบของการจัดการโควิดในประเทศไทยมาใช้ในประเด็นความรุนแรงนี้ได้อย่างไร
จากผลกระทบของโควิด ทำให้ความสัมพันธ์และความรุนแรงในครอบครัวเพิ่มมากขึ้น สาเหตุมาจากการตกงาน ว่างงาน ไม่มีรายได้ ผู้สูงอายุขาดการดูแล ขาดสถานที่เหมาะสมในการกักกัน เข้าไม่ถึงความรู้และเวชภัณฑ์ จากการสำรวจพบว่าครอบครัวได้รับผลกระทบเลิกจ้างว่างงาน พฤติกรรมต้องลดค่าใช้จ่ายลง ใช้สิ่งของแยกกัน มีการออมมากขึ้น พม.มีบทบาทโฟกัสความรุนแรงในครอบครัว 4 P นโยบายกระทรวงพัฒนาศักยภาพคนให้มีความเข้มแข็ง มีแผน การขับเคลื่อนยุทธศาสตร์และการพัฒนาครอบครัว ต้องมีการปรับให้เข้ากับสถานการณ์ปัจจุบัน ส่งเสริมอาชีพต่างๆ สำรวจสถานการครอบครัวไทย มีการสำรวจหลังโควิด พัฒนาข้อมูล เก็บข้อมูลให้มากที่สุด มีศูนย์พัฒนาครอบครัวในชุมชน (สพค.) เป็นกลไกที่ใกล้ชิดกับชุมชนที่สุด ปัจจุบันมี 7,000 กว่าแห่ง และศูนย์ป้องกันความรุนแรง 10 เปอร์เซ็นต์ มีความตั้งใจจะทำให้เข้มแข็ง ศูนย์สพค. จะเป็นกลไกจริงที่เกิดขึ้นในชุมชน ประเด็นต่างๆ เช่น เตรียมความพร้อมก่อนแต่งงาน โรงเรียนครอบครัว ศูนย์เรียนรู้สถาบันสตรีและครอบครัวเป็นตัวขับเคลื่อน โครงการวาว มีจุดต่างที่มีการอบรมให้เครือข่ายมีความรู้เรื่องกฎหมายเรื่องต่างๆ ทุกมิติ หากมีการงานร่วมกันก็จะเกิดประโยชน์มากขึ้น อยากให้ศูนย์ สพค.มีรูปแบบลักษณะเดียวกับโครงการวาว พม.ต้องทำงานเชิงรุกมากขึ้น
ในเวทีเสวนาเรื่อง “แนวทางกานพัฒนากลไกสหวิชาชีพ ภาครัฐ ประชาสังคม องค์กรศาสนา ไร้รอยต่อยุคโควิด – 19” โดยนางปรีด๊ะ หะยีเตะ ประธานศูนย์ให้คำปรึกษาและช่วยเหลือเด็ก สตรีที่ประสบปัญหาในชุมชนต้นแบบลดความรุนแรงต่อเด็กและสตรี ต.ลุโบะยีไร อ.มายอ จ.ปัตตานี นางรอซิดะห์ ปูซู ประธานเครือข่ายผู้หญิงยุติความรุนแรงแสวงสันติภาพ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นายซาฟีอี เจ๊ะเลาะ ประธานคณะกรรมการอิสลามประจำจังหวัดนราธิวาส ร.ศ.อภิญญา เวชยชัย ที่ปรึกษานักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย นางกนกรัตน์ เกื้อกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการ ศูนย์อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้ (กระทรวงพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์) นางรอซิดะห์ ปูซู บอกว่าหากเป็น 10 ปี ที่แล้ว ไม่มีใครกล้าพูดถึงประเด็นความรุนแรง ถึงเวลาที่ต้องคุยและทำงานกันอย่างจริงจัง พยายามส่งเสริมให้ผู้หญิงเข้าไปทำงานที่คณะกรรมการอิสลาม ขอบคุณคณะกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาสที่เปิดโอกาสให้ผู้หญิงเข้ามาทำงาน
“3 ปี ที่ทำงานมาเราทำงานเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ เป็นที่น่าตกใจที่ผู้หญิง 800 คน ประสบปัญหา ปี 62 มีผู้หญิง 89 เปอร์เซ็นต์ได้รับความรุนแรงเชิงซ้อน ถูกทำร้ายร่างกาย 85 เปอร์เซ็นต์ 69 เปอร์เซ็นต์สามีมีภรรยาหลายคน 33 เปอร์เซ็นต์คือความร่วมมือของผู้นำศาสนา ประทับใจที่ผู้นำศาสนาเริ่มให้ความสนใจประเด็นเรื่องความรุนแรงในครอบครัว ชุมชนต้นแบบมีแนวโน้มความรุนแรงในครอบครัว ลดลงการทำงานประเด็นความรุนแรงเราไม่เคยท้อถอย แต่จากการทำงานเราไม่ได้ทำงานที่ต้นทาง เราเหมือนทำงานที่ปลายทางบางครั้งก็เหนื่อยใจเมื่อการขอความช่วยเหลือไม่ได้รับการตอบสนอง ถึงเวลาแล้วที่เราจะต้องสร้างกลไกให้รัฐสามารถใช้กฎหมายได้อย่างจริงจังและมีประสิทธิภาพ ผู้หญิงต้องมีกลไกของตัวเอง องค์กรศาสนาจะใช้กฎหมายอิสลามอย่างไร”
นางปรีด๊ะ บอกว่าตั้งแต่เปิดศูนย์ ทำให้รับเคส ให้คำปรึกษาปัญหาของผู้หญิงที่มีสาเหตุมาจากสามีติดยาเสพติด มีภรรยาเพิ่ม เด็กถูกละเลยเนื่องจากพ่อแม่ทำงานมาเลเซียไม่สามารถกลับมาได้ พัฒนาการตัวเองของผู้หญิงที่กล้าเรียกร้องสิทธิของตัวเอง เริ่มจากตัวเองที่เป็นผู้ถูกกระทำ ตอนนั้นไม่รู้จะไปไหนไม่มีใครช่วย ปัจจุบันเป็นคนที่ไปช่วยเหลือผู้หญิงเหล่านั้น มีทีมแต่ไม่มีพาร์เนอร์ ขอให้คณะกรรมการอิสลามจังหวัดปัตตานีเปิดโอกาสให้ผู้หญิงได้ทำงาน ให้พม.ช่วยสนับสนุนให้เกิดกระบวนการต่อไป ให้ผู้หญิงได้มีแรงขับเคลื่อนในการทำงาน
นายซาฟีอี บอกว่า ประธานคณะกรรมการอิสลาม 43 คน ในประเทศไทยเป็นผู้ชายหมด ประชากรในประเทศไทยมีผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย งานของสำนักงานคณะกรรมการอิสลามจังหวัดนราธิวาสได้มีการจับมือกับเครือข่ายทั้งภาครัฐเอกชน ประชาสังคมมาหมดเกือบทุกส่วนที่เกี่ยวข้องเพื่อให้เกิดการแก้ปัญหาเมื่อเกิดเคสที่ไม่สามารถจบได้ที่คณะกรรมการอิสลาม แต่ส่วนมากจะจบที่คณะกรรมการอิสลาม เพราะ 75 เปอร์เซ็นต์เป็นมุสลิมจึ่งสามารถใช้กฎหมายอิสลามในการไกล่เกลี่ย เดิมคณะกรรมการอิสลามต้องทำคนเดียวแต่เมื่อมีโครงการวาวเข้ามาทำให้ทำงานง่ายขึ้น ลดความขัดแย้งและไกล่เกลี่ยได้ในระดับหนึ่ง
“ครอบครัวสันติสุขมีแต่คนอยากได้แต่ยังไม่รู้วิธี ถ้าทำตามท่านนบี ท่านเข้าไปในห้องครัวรินน้ำเพื่อดื่มน้ำ แต่ภรรยาเดินเข้ามาพอดีท่านยื่นให้ภรรยาดื่มก่อน การทำครอบครัวให้สันติสุขต้องมีความเข้าใจซึ่งกันและกันและเพิ่มความหวาน เป็นหน้าที่สามีที่ถูกต้องตามหลักศาสนา มีปัญหาเพราะไม่รู้หน้าที่ ต้องให้ความสำคัญของศาสนา รู้จักหน้าที่ของสามีหน้าที่ภรรยา ต้องให้เกียรติกันและกัน ทำตามซุนนะห์นบีดีที่สุด”
ร.ศ.อภิญญา เวชยชัย ที่ปรึกษาสมาคมนักสังคมสงเคราะห์แห่งประเทศไทย บอกว่าจะดูว่ากลไกสหวิชาชีพเกิดขึ้นจริงหรือไม่ ต้องดูต้นทุนที่มีอยู่เดิม กลไกศาสนาเป็นกลไกที่มีความแข็งแรงและปรับไปในทางที่เหนี่ยวแน่นและมั่นคงมากขึ้น ความคิดและทัศนคติที่เปลี่ยนของผู้ชายต่างหากที่จะเป็นสิ่งที่เสริมแรงให้ผู้หญิงได้
“ผู้หญิงมีความกล้าหาญ มั่นใจมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงในมมิติด้านจิตวิญญาณทำให้ผู้หญิงรู้สึกมีคุณค่า มีความหมาย ทำให้ผู้หญิงคนอื่นลดความเจ็บปวด ไม่ตกเป็นเหยื่อของความรุนแรง กลไกของผู้หญิงมีความเติบโตมาก แรงใจ จิตวิญญาณส่งพลังอำนาจ กลไกประสานความร่วมมือกับจังหวัดมีช่องว่างเรื่องเวลาต่อเกิดการเชื่อมโยง มีความรัก เกื้อกูลกัน ทำงานเกาะกันเป็นหนึ่งเดียว 3 ปี เป็นบูรณาการร่วมกันของการทำงาน เป็น 3 ปีที่ต้องดำเนินงานต่อ ชีวิตและความทุกข์ของผู้หญิงจะเป็นครูของแกนนำผู้หญิงของเรา ลดกำแพงตัวเองลง กลไกทางศาสนาเปิดรับ เป็นต้นทุนเชิงบวก เป็นพลังสะท้อนกลับมาที่แกนนำสำคัญของผู้หญิงในชุมชน ไม่พึ่งรัฐ เป็นที่พักพิงซึ่งกันและกัน แต่รัฐเป็นส่วนที่รับเพื่อดูแลในเบื้องต้น สุดท้ายแล้วแกนนำผู้หญิงในชุมชนเป็นส่วนสำคัญที่สุดที่จะช่วยเยียวยาผู้หญิงเหล่านั้นให้เข้าไปอยู่ในชุมชนอย่างมีความสุข
อนาคตผู้หญิงจะเข้มแข็งขึ้น มิติเศรษฐกิจและการแก้ปัญหาต่างๆ ตามมา ให้มีการเกาะเกี่ยวกัน เกิดการแก้ปัญหาได้ดีมากขึ้น รัฐจะต้องเข้าใจว่ากลไกมีความสำคัญ สนับสนุนความรู้การสร้างความเข้มแข็งศักยภาพชุมชน มันไม่ใช่แค่ปริมาณแต่ต้องมีคุณภาพ สามจังหวัดจะต้องถูกมองเปลี่ยนไปจากเดิมที่มีแต่ความรุนแรง แต่จะเป็นสามจังหวัดที่สวยงามและเข้มแข็ง”
นางกนกรัตน์ เกื้อกิจ ผู้ช่วยเลขาธิการศอ.บต. บอกว่าองค์กรสหวิชาชีพทำงานเชิงรุกกันมากในการรณรงค์และป้องกัน ให้ความรู้เชิงกฎหมายทั้งกฎหมายไทยและกฎหมายอิสลาม ทำงานของวาว มีการทำงานทุกมิติ ดึงทุกภาคส่วนมาทำงานร่วมกัน มีเคสคนไทยได้สามีจดทะเบียนถูกต้องกับชาวมาเลเซีย มีลูก 2 คน คนแรกได้สัญชาติ แต่คนที่ 2 ไม่ได้สัญชิต เมื่อเกิดความรุนแรงในครอบครัวจะขอกลับประเทศไทยจึงได้ใช้กลไกของแกนนำไทยที่อยู่มาเลเซียสามารถกลับมาได้ แต่ในช่วงกักตัวเขายังไม่ได้รับการเยียวยา สื่อสำคัญมาก จะทำอย่างไรให้สื่อมีจรรยาบรรณที่เมื่ออกสื่อไปผู้ถูกกระทำจะต้องปลอดภัยมากที่สุด อาชีพและเศรษฐกิจจะเป็นตัวขับเคลื่อนที่ดี ภาครัฐมีโครงการตืองันฮาตี เป็นโครงการเกี่ยวกับการแก้ปัญหาในชุมชน เป็นระยะ 5 ปี ใน 1 ปีแรกเรื่องการซ่อมแซมบ้าน 4,000 หลัง ไม่ใช่แค่การซ่อม จะสร้างชีวิตทำให้ได้รับการศึกษาและสนับสนุนด้านอาชีพด้วย
ในการนำข้อเสนอจาก 4 มหาวิทยาลัย(ม.ฟาฏอนี ม.ราชภัฎยะลา ม.นราธิวาสราชนครินทร์และม.อ.ปัตตานี) มุมมองของนักศึกษาต่อปัญหาสตรี กับผู้หญิงที่ได้รับผลกระทบโดยตรง เพื่อการปรับปรุงกลไกการบังคับใช้กฏหมายอิสลามเพื่อความยุติธรรมต่อสตรี โดยตัวแทนคือ ดร.ฆอซาลี เบ็ญหมัด เสนอแนวทาง จัดทำหลักสูตรและสิทธิหน้าที่สามีภรรยา พัฒนาศักยภาพผู้นำสตรีด้วยอิสลาม สร้างตระหนักรู้พรบ.2540 แก่ผู้นำท้องถิ่น ผู้นำศาสนา เสริมสร้างกองทุนบัยตุลมาล จัดตั้งหน่วยผประชาอาสาในชุมชน ตั้งองค์กรให้คำปรึกษาข้อขัดแย้งในครอบตครัวและมรดก พัฒนาระบบและกลไกกฎหมาย ใช้ศาลชารีอะฮฺ
อ.ฆอซาลี บอกว่าปัญหาข้อกฏหมาย องค์กร คุณภาพชีวิต ทัศนคติ การละเมิดสิทธิ ค่าอุปการะเลี้ยงดูผู้หญิงและบุตรหลังการหย่า เอกสิทธิ์ของผู้ชายในการหย่า จากการวิจัยมา 10 ปี เกือบร้อยเปอร์เซ็นต์หลังจากการหย่าผู้ชายไม่มีการส่งเสียเลี้ยงดู ไม่มีการปฏิบัติ ทั้งที่กีตาบ กฎหมายอิสลามก็มีให้จ่าย ไม่มีองค์กรมารับช่วงต่อเช่น องค์กรบัยตุลมาล ต้องช่วยเหลือดูแลคนเหล่านี้ การร่วมมือของหน่วยงานจึงมีความจำเป็น ยังไม่มีระเบียบมาตั้งแต่ปี 2540
“ควรกำหนดให้ไปหย่าที่มัจลิสเพื่อให้มีผู้เชี่ยวชาญมาวินิจฉัยให้เป็นระบบ ปัญหาฮุก่มไม่ตรงกัน อิหม่ามขาดศักยภาพในการไกล่เกลี่ย ไม่มีคู่มือกฏหมายอิสลามอย่างเป็นทางการ อำนาจเป็นของจุฬาราชมนตรี ต้นน้ำคือการเลี้ยงดูที่ดี ครอบครัวอบอุ่น สร้างคนให้เคร่งครัดในศาสนา กฎหมายเป็นแค่เปลือก ของจริงอยู่ที่ครอบครัว”
ดร.วิสุทธิ์ บิลล่าเต๊ะ ผู้อำนวยการศูนย์ประสานงานสำนักจุฬาราชมนตรี ประจำภาคใต้ และประธานฝ่ายวิชาการและการศึกษาคณะกรรมการอิสลามแห่งประเทศไทย กล่าวถึงคุณวุฒิของอิหม่าม 2,000 กว่าคนใน 4 จังหวัดที่มีวุฒิภาวะไม่เท่ากัน เป็นอนุรักษ์นิยมสูงมาก เคยเข้าใจมาอย่างไรจะเปลี่ยนแปลงไม่ได้ ทั้งที่ปัญหามันดิ้นได้เพื่อให้เหมาะสมกับยุคสมัยและเกิดประโยชน์สูงสุด ปัญหาองค์กร กรรมการอิสลามแห่งประเทสไทยต้องมีระเบียบการประนีประนอมขึ้นมา ให้มีการพบปะองค์กรสตรีและศาสนามาหารือกัน ผลักดันให้เกิดระเบียบออกมาเป็นประโยชน์ต่อสังคมมุสลิม จะมีกองทุนทำงานหลังโควิดที่ระยอง ประจวบคีรีขันธ์และนราธิวาส เป็นกองทุนซะกาตและสังคมสงเคราะห์กองทุนวากัฟเพื่อการศึกษาสู่สังคมสันติสุขในสังคมหพหุวัฒนธรรม กองทุนเพื่อครอบครัวเข้มแข็ง ให้สตรีดูแล ให้คณะกรรมการอิสลามและรัฐดูแลคนละครึ่งแก่ครอบครัวที่ได้นับผลกระทบ ถ้าหากฝ่ายใดละเมิด ต้องต่อสู้กับผู้ละเมิด ช่วยเหลือผู้ถูกอธรรม เรายังต้องอยู่ภายใต้กฎมายของประเทศไทย และกฎหมายเฉพาะของพื้นที่ คาดหวังว่าจะยุติความรุนแรงต่อไป
“ทำไมผู้ชายไม่ปฏิบัติ หลายปัญหามาจากการไม่รู้หน้าที”