เดิมพันสูงยิ่ง… “ซาอุฯ” ตัดสัมพันธ์ “อิหร่าน” !!

การตัดสินใจของซาอุฯ ที่จะเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการประหารชีวิตนักโทษ 47 ราย โดยหนึ่งในนั้นคือนักการศาสนาระดับสูงของมุสลิมชีอะห์ “อายะตุลเลาะห์ เชค นิมร์ บากิร อัลนิมร์” ส่งผลให้อุณหภูมิความขัดแย้งในตะวันออกกลางร้อนฉ่า

และแน่นอนว่า หมากเกมนี้ได้ผ่านการใคร่ครวญคำนวนอย่างดิบดีมาแล้ว

ริยาดคาดเดาแต่แรกแล้วว่า กลุ่ม “บาซิจ” (Basij) ซึ่งเป็นอาสมัครพิทักษ์การปฏิวัติในอิหร่าน ต้องมีปฏิกิริยาต่อการประหารชีวิตและการประท้วงจะต้องเกิดขึ้น

ซึ่งย่อมหนีไม่พ้นการแสดงออกต่อนักการทูตและสถานทางการทูตของซาอุฯ ในอิหร่าน

อันที่จริงไม่ว่าจะเกิดเหตุรุนแรงมากน้อยเพียงใด เกมก็ต้องออกมาเช่นนี้อยู่ดี

นั่นคือการตัดสัมพันธ์ทางการทูต อันเป็นหมากที่ถูกวางเอาไว้แล้ว!!

แต่เมื่อสถานการณ์นำพาไปถึงขั้นเผาสถานทูตของซาอุดิอาระเบีย 2 แห่ง ทั้งในเมืองหลวงเตหะราน และเมืองมัชฮัดทางตะวันออกเฉียงเหนือ ก็เป็นเครื่องรับประกันการคำนวนนั้น

ซาอุดิอาระเบียจึงประกาศตัดความสัมพันธ์ทางการทูตกับอิหร่านในทันที และโดย “แน่ใจ” ด้วยว่ามีรัฐอาหรับอื่นๆ ปฏิบัติตาม!!

อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้เป็นครั้งแรกที่อิหร่านต้องเผชิญหน้าคู่กัดตลอดกาล อย่าง “ซาอุดิอาระเบีย”

ที่ผ่านมา ความหวาดระแวงและเกลียดชังนำมาซึ่งการแบ่งแยกในภูมิภาคอย่างแจ่มชัด นับตั้งแต่อิหร่านปฏิวัติอิสลามในปี 1979 ซาอุดิอาระเบียร่วมมือกับชาติตะวันตกบ่อนทำลายอิหร่านมาโดยตลอด

ทั้งในสมรภูมิความขัดแย้งตะวันออกกลาง สองฝ่ายก็ยืนคนละข้าง ทั้งในอิรักและซีเรีย

หรือไม่กี่เดือนก่อน เมื่อซาอุฯ ประกาศบุกเยเมน อิหร่านก็ปฏิบัติการต่อต้านอย่างลับๆ อยู่หลังม่าน

ทว่าเมื่ออิทธิพลทางทหารและทางการเมืองของอิหร่านเติบโต แผ่ขยายขึ้นเรื่อยๆ โดยเฉพาะในซีเรีย เยเมน และอิรักนับตั้งแต่สหรัฐบุกในปี 2003

เหตุนี้ซาอุดีอาระเบียจึงมิอาจนิ่งเฉย!!

แต่ในครั้งนี้ราชอาณาจักรซาอุดิอาระเบียได้เล่นเกมที่แตกต่างจากที่ผ่านมา

ซาอุฯ โดดลงมาเป็นผู้เล่น “เปิดหน้าชก” เลิกกระมิดกระเมี้ยนด้วยเกมสงครามตัวแทนแล้ว!!

ในขณะนี้ ความสัมพันธ์ทวิภาคีระหว่าง 2 ประเทศ คงเหลือเพียงการต้อนรับผู้แสวงบุญชาวอิหร่านที่จะไปทำฮัจญ์เท่านั้นที่จะได้รับพิจารณาตามที่ อาเดล อัลจูเบร์ รมต.ต่างประเทศซาอุ ระบุไว้ แต่นอกเหนือจากนั้น ไม่ว่าความสัมพันธ์ทางการทูต การค้า และการเดินทางทางอากาศระหว่างประเทศ ล้วนถูกระงับแล้วทั้งสิ้น

ดีหรือเลวร้ายสำหรับฝ่ายใดนั้นยังไม่ประจักษ์ชัด แต่กษัตริย์ซัลมานแห่งซาอุฯ ได้แสดงออกถึงความหนักแน่นในการตัดสินใจแล้ว !!

นอกจากพันธมิตรระดับภูมิภาคอย่างตุรกีและกาตาร์ซึ่งอยู่ฝ่ายซาอุฯ ชัดเจน เกมนี้ของซาอุฯ ยังได้บังคับให้รัฐอาหรับอื่นๆ ต้องเลือกข้าง

บาห์เรน และซูดานได้เดินตามรอยไปแล้วเมื่อวันจันทร์ (4 ม.ค.) ขณะที่อาหรับเอมิเรตส์ก็ได้ลดระดับความสัมพันธ์กับอิหร่าน และคาดว่าจะยังมีอีกหลายประเทศ

แต่ความน่าสนใจของสถานการณ์นี้อยู่ตรงที่ วิธีการเดินเกมทางการเมืองระหว่างประเทศของริยาดโดย “ไม่ปรึกษา” วอชิงตัน!!

ก่อนหน้านี้ไม่กี่เดือน ซาอุใช้เวลาเพียงน้อยนิดในการตัดสินใจที่จะเปิดฉากโจมตี “เยเมน” โดยไม่รอการอนุมัติจาก “ผู้มีพระคุณ” ซึ่งพันธมิตรอื่นๆ ของสหรัฐในภูมิภาคนี้จะต้อง “ให้ความสำคัญ” ก่อนปฏิบัติการใดๆ

น่าสังเกตว่า การโจมตีเยเมนครั้งนั้น เกิดขึ้นท่ามกลางการเจรจานิวเคลียร์ระหว่างอิหร่านกับชาติมหาอำนาจที่กำลังลุล่วงไปด้วยดี อีกทั้งสหรัฐฯ ก็แสดงท่าทีเสมือนจะเอาใจออกห่างจากพันธมิตรเก่าแก่อันทำให้ซาอุฯ หวั่นไหว

มาครั้งนี้ก็เช่นกัน!! ซาอุฯ เดินเกมม้วนเดียวโดยไม่สนฟังเสียงวอชิงตัน

ซึ่งน่าสังเกตอีกเช่นกันว่า การเคลื่อนไหวของซาอุฯ ครั้งนี้เกิดขึ้นท่ามกลางการเจรจาหยุดยิงซีเรีย และอาจเป็นไปได้ว่าในเยเมนด้วยเช่นกัน และล้วนเป็นไปในทิศทางที่คาดว่าน่าจะดีขึ้น!!

นอกจากนั้น มีข้อบ่งชี้ว่าริยาดกำลังกังวลอย่างหนักกับการกลับสู่ตลาดโลกของอิหร่านหลังบรรลุข้อตกลงนิวเคลียร์กับวอชิงตัน อันจะทำให้อิหร่านสยายปีกมากขึ้นในเวลาอันรวดเร็ว

ในทางกลับกันซาอุฯ ได้ทำให้ราคาน้ำมันลงสู่ระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ เป้าหมายเพื่อทำลายเศรษฐกิจของศัตรูฝ่ายตรงข้ามอย่างรัสเซีย แต่ซาอุฯ ก็ต้องจ่ายผลตอบแทนมหาศาลเมื่อตนเองก็เผชิญวิกฤตทางการเงินอย่างหนักด้วยเช่นเดียวกัน

ทั้งซาอุฯ ยังมีบาดแผลจากสงครามในเยเมนที่วันนี้ยังติดหล่มถอนตัวไม่ขึ้น ทหารตายรายวัน มีค่าใช้จ่ายมหาศาลในการใช้ทำสงคราม

มิหนำซ้ำแนวโน้มสถานการณ์ในซีเรียก็ไม่เป็นไปใจ ผู้นำและกองกำลังฝ่ายกบฏที่ซาอุฯ ให้การสนับสนุนกลับตายเป็นว่าเล่นจากการถล่มทางอากาศโดยกองทัพรัสเซีย จนทำให้โอกาสล้มรัฐบาลซีเรียแทบจะไม่มี อีกทั้งชาติตะวันตกบางส่วนก็เริ่มเสียงอ่อยต่อการคงอยู่ของ “บาร์ชาร์ อัลอะซัด” จึงเสมือนยิ่งบีบสู่การเจรจา

ส่วนในอิรัก ไอซิสที่เคยสร้างความปั่นป่วนก็กำลังถูกไล่ต้อนตะเพิด ถูกลดทอนศักยภาพจากกองทัพอิรักที่เริ่มยึดคืนดินแดนได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น เมื่อภูมิภาคตะวันออกกลางกำลังปรับสมดุล และเสมือนว่าความรุนแรงกำลังลดระดับ รัฐบาลแต่ละประเทศรู้สึกว่าทางออกของปัญหาในภูมิภาคคือ “การประนีประนอม”

หรือนี่คือเหตุผลและความจำเป็นที่ทำให้ซาอุดิอาระเบียต้องเปิดเกมสุมไฟตะวันออกกลางรับศักราชใหม่?? เพื่อรักษาผลประโยชน์ของตนในภูมิภาค??

เหตุเพราะหากไฟตะวันออกกลางมอดดับ เส้นทางที่กำลังดำเนินไปนั้น ล้วนเป็นประโยชน์แก่อิหร่านและพันธมิตรของอิหร่านทั้งสิ้น!!

สถานการณ์ในตอนนี้กับโอกาสของการเจรจาระหว่าง 2 ฝ่ายที่เสมือนปิดตายไปแล้ว แต่ซาอุดีอาระเบียยังคงมุ่งมั่นในเกมที่ตัวเองวางไว้ ทั้งเปิดหน้าลงเป็นผู้เล่นในความขัดแย้งนี้ ด้วยความรู้สึกว่าตนได้ลงทุนไปมากเกินแล้วที่จะเข้าเกียร์ถอยหลัง

เดิมพันของซาอุจึงสูงยิ่งในระดับสากล !!

 

—-
โต๊ะข่าวต่างประเทศ / รายงาน