ความเหมือนในความต่าง หน้ากาก V และ การชู 3 นิ้ว

The Hunger Games เป็นวรรณกรรมเยาวชน ประพันธ์โดย “ซูซาน คอลลินส์” ถูกนำมาสร้างเป็นภาพยนตร์แนวผจญภัย-ดราม่า อิงการเมืองพอตัว โดยเล่าเรื่องราวเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในโลกอนาคตหลังอารยธรรมล่มสลาย ในประเทศที่ชื่อว่า Panem มีเขตปกครองทั้งหมด 13 เขต โดยมี Capitol เป็นเมืองหลวง (ซึ่งมีอำนาจปกครอง 12 districts) เป็นเรื่องของเด็กวัยรุ่น 24 คน ที่ถูกคัดเลือกให้เข้ามาร่วมในเกมที่จะต้องเข่นฆ่ากันเพื่อเอาชีวิตรอดเป็น คนสุดท้าย ซึ่งก็คือ ผู้ชนะ

เล่าให้ฟังคร่าวๆ ภาคแรกนั้นหนังเปิดฉากเมืองสมมติในยุคมืดมีอยู่ 12 เขต (12 districts) ซึ่งตกอยู่ภายใต้อำนาจการปกครองของเมืองศูนย์กลางชื่อ “แคปปิตอล” ที่มีคณะผู้ปกครองที่ใช้ชีวิตอย่างสุขสบายมั่งคั่ง เป็นผู้กำหนดชะตากรรมให้ทั้ง 12 เขตที แร้นแค้นยากไร้ และถูกกดขี่โดยแคปปิตอล ดังนั้นผู้คนใน 12 เขต จึงไม่มีใครกล้าหือหรือลุกขึ้นมาเปลี่ยนแปลงอะไร เนื่องจากบรรยากาศความหวาดกลัวที่แคปปิตอลได้สร้างเอาไว้ปกคลุมไปทั่ว

หนึ่ง ในเครื่องมือสร้างความหวาดกลัวและกดหัวผู้คนไว้ให้คล้อยตามก็คือ เกมที่แคปปิตอลบังคับทุกๆ เขตจะต้องส่งเด็กผู้หญิงและเด็กผู้ชายอย่างละหนึ่งคน มาเข้าร่วม Hunger Games ในทุกปี โดยมีกฎง่าย ๆ ว่า ให้เด็กทั้ง 24 คนแข่งขันต่อสู้กันผ่านหน้าจอทีวี จนกระทั่งเหลือผู้รอดชีวิตเพียงคนเดียว….

พูดง่ายๆ ว่า เลือกให้ไปเสี่ยงตาย ซึ่งเปอร์เซ็นตายย่อมมีมากกว่ารอด เรื่องราวในหนังจึงแสดงให้เห็นการต่อสู้เพื่อเป้าหมายหลักก็คือ “การเอาตัวรอดให้มีชีวิตอยู่และได้กลับบ้าน” ดังนั้นเด็กส่วนใหญ่ที่ได้รับคัดเลือกจึงถูกสถานการณ์ผลักดันให้ทำลายล้าง อีกฝ่ายทุกรูปแบบ ไปจนถึงเกลียดชังฝ่ายตรงข้ามแม้ไม่เคยรู้จักกันมาก่อน ขณะที่บางคน มโนธรรมสำนึกกระตุกให้เกิดความลังเลที่จะฆ่าหรือกำจัดคู่แข่งขันอย่างโหด เหี้ยมเช่นคนอื่นๆ

ตัวเอก ของเรื่องคือ เด็กสาวที่ชื่อ แคตนิส เอเวอร์ดีน เป็นตัวแทนจากเขต 12 ซึ่งเป็นเขตที่ยากจนที่สุด (และเธอเสียสละมาแทนน้องสาว) เธอปฎิเสธการฆ่า เป้าหมายคือ พยายามเอาตัวเองให้รอดพ้นจากการถูกล่าและถูกฆ่า โดยไม่ต้องฆ่าใคร ในภาคแรกของหนังเรื่องนี้ เธอกับชายหนุ่มชื่อ “พีต้า” ซึ่งมาจากเขตเดียวกันได้กลายเป็นผู้รอดชีวิต และเป็นครั้งแรกที่แคปปิตอลจำต้องยอมประกาศให้มีผู้ชนะ 2 คน ซึ่งชัยชนะของแคตนิสนี่เองที่แสดงให้เห็นถึงการไม่สยบยอมต่อแคปปิตอล จนกลายเป็นชนวนเหตุให้เกิดการปฏิวัติขึ้นมา และเป็นที่มาของเรื่องราวในภาค 2 The Hunger Games: Catching Fire

ภาค 2 นี้เนื้อหาหนังมุ่งไปทางการเมืองค่อนข้างเด่นชัด เป็นความต่อเนื่องที่แคปปิตอล โดยท่านผู้นำนามว่า “ประธานาธิบดีสโนว์” พยายามเร้าความเกลียดชังแตกแยกในหมู่คนทั้ง 12 เขตให้เพิ่มขึ้น โดยจัดให้ผู้ชนะอย่างแคตนิสและพีต้าไปทัวร์โชว์ตัวตามเขตต่างๆ หวังให้คนในเขตต่างๆ แอนตี้ และจัดการแข่งขันรอบพิเศษขึ้นอีก แต่หนนี้การณ์กลับกลายเป็นว่า แคตนิสเป็นตัวจุดประกายให้เกิดความกระด้างกระเดื่องต่อแคปปิตอลขึ้นในหมู่คน ภาคนี้มีการนำสัญลักษณ์ออกมาใช้ทั้งสัญลักษณ์นก Mockingjay  ที่นางเอกพกติดตัวตลอดเวลา กับ Three Finger Salute หรือการยกแขนขึ้นชู 3 นิ้วไปข้างหน้าเพื่อแสดงถึงการไม่สยบยอมต่ออำนาจที่ไม่ชอบธรรม

ที่เล่ามาทั้งหมดนี้เผื่อๆ ไว้สำหรับคนที่อาจจะไม่เคยอ่านหนังสือหรือดูหนัง  The Hunger Games โดยเฉพาะช่วงเวลานี้มีประชาชนคนไทยผู้ต่อต้านการรัฐประหารได้นำสัญลักษณ์ชู 3 นิ้ว แบบในหนังเอามาใช้ จึงมีผู้ที่ไม่เข้าใจที่มาที่ไป หรือตีความหมายของสัญลักษณ์ที่ว่านี้ผิดไป เช่นในสื่อโซเชี่ยลอย่างเฟซบุก มีหลายคนเข้าใจว่า การชู 3 นิ้วใช้เฉพาะในการขอบคุณ ชื่นชมยินดี และกล่าวลาเมื่อมีการตาย ความจริงแล้วสัญลักษณ์นี้ในภาคแรกตอนต้นๆ ก็มีความหมายเชิงนั้น แต่ช่วงหลังมีการก่อกบฎกระด้างกระเดื่องต่อแคปปิตอล ผู้คนในเขตอื่นๆ ก็เลยเอาสัญลักษณ์ที่มีการใช้กันในเขต 12 ที่นางเอกอยู่ เอามาใช้กันในเชิงแข็งขืน ดึงดัน ต่อต้าน และแสดงความไม่สยบยอม

การนำเอาสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วจึงเป็นสิ่งที่คล้ายๆ กับว่า ผู้ต่อต้านการรัฐประหารในเมืองไทยกระทำได้ง่ายที่สุด และสื่อความหมายของพวกเขาอย่างชัดเจนตรงไปตรงมาที่สุดแล้ว ในห้วงเวลาที่อำนาจทหารเข้าควบคุมดูแลความสงบเรียบร้อยของประเทศอยู่ในขณะ นี้ หากเทียบกับการยกกระดาษ A4 ที่เขียนข้อความประท้วงต่างๆ ก็อาจทำได้ยากกว่า หรือยุ่งยากกว่า (เพราะต้องเตรียมกระดาษ+ปากกา) และอาจเสี่ยงถูกควบคุมตัวได้ง่ายๆ หากคุณไปยกในที่สาธารณะ หรือในที่ชุมนุมแม้จะมีผู้ร่วมประท้วงอยู่มากก็ตาม เพราะถือว่าเป็นความผิด ดังที่ คสช.ประกาศอยู่เนืองๆ

หากย้อนกลับไปดูการนำสัญลักษณ์มาใช้ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง เราจะเห็นอยู่ทั่วโลก สำหรับในเมืองไทยก่อนหน้าที่เจะมีกลุ่ม กปปส.ก็มีกลุ่มที่ใส่หน้ากากสีขาว (หน้ากาก V) หรือหน้ากากกาย ฟอคส์ ออกมาประท้วงต่อต้านระบอบทักษิณ และไม่เห็นด้วยกับการบริหารราชการแผ่นดินของรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง อย่าง รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยมีการนำหน้ากากขาวนี้มาใช้ในการต่อต้านกันอย่างแพร่หลาย

หน้ากาก กาย ฟอคส์ นี้มีจุดเริ่มต้นมาจากการประท้วงภาพยนตร์ “เพชฌฆาตหน้ากากพญายม” ในสหรัฐ เมื่อปี 2006 โดยกลุ่มคู่ขัดแย้งคือฝ่ายต้านหนังกับฝ่ายสนับสนุนหนัง ต่างก็สวมหน้ากากกาย ฟอคส์ ออกมาเผชิญหน้ากันนอกสำนักงานดีซีคอมมิกส์ ไปจนถึงการประท้วงรัฐบาลที่รวบอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมในหลายๆ ประเทศ เช่น ชาวอียิปต์สวมหน้ากากขาวประท้วงปธ.มูบารัค หรือ การประท้วงรัฐบาลของชาวบราซิล ก็มีการใส่หน้ากากขาวนี้ด้วยเช่นกัน สำหรับในประเทศไทย การประท้วงหน้ากากขาวปรากฏครั้งแรกเมื่อปี 2012 ที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยต่าง ๆ ได้เคลื่อนไหวต่อต้านนกรณีนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ โดยรณรงค์ให้ผู้ที่เข้าร่วมด้วยเปลี่ยนรูปโปรไฟล์เป็นรูปสวมหน้ากากกาย ฟอคส์ ต่อมาเมื่อปี 2013 ก็มีการประท้วงที่ช่อง 3 ยุติการออกอากาศละคร “เหนือเมฆ 2 มือปราบจอมขมังเวทย์” อย่างกะทันหัน

แต่หากพูดถึงที่มาอันเป็นความหมายที่แท้จริงของหน้ากาก กาย ฟอคส์ นั้นค่อนไปคนละทางกับความหมายที่ผู้ประท้วงพยายามจะสื่อ เพราะหน้ากากขาวนี้ มาจากนาย กาย ฟอคส์ หรือ “กุยโด ฟอคส์” สมาชิกกลุ่มคาทอลิกอังกฤษหัวรุนแรง ผู้วางแผนและก่อการระเบิดดินปืน (Gunpowder Plot) อันลือลั่น ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของแผนลอบปลงพระชนม์พระเจ้าเจมส์ที่ 1 แต่การก่อการครั้งนั้นของกาย ฟอคส์ ล้มเหลว และเขาถูกจับไปประหารชีวิต (แต่นายฟอคส์ฆ่าตัวตายซะก่อนด้วยการกระโดดลงจากตะแลงแกงก่อนถูกประหาร)

อย่างไรก็ตามแม้เป็นการนำเอา “สัญลักษณ์” มาใช้เคลื่อนไหวในทางการเมืองเหมือนกัน ทว่า หน้ากากขาวในอดีตคือภาพของการต่อต้านชนชั้นสูง แม้ในปัจจุบันจะถูกตีความหมายไปในทางต่อต้านการกระทำมิชอบ การคอรัปชั่น หรือต่อต้านรัฐบาลที่ตัวเองไม่ได้สนับสนุน แต่ก็ยังมีข้อแคลงใจของการใส่หน้ากากปกปิดใบหน้าของผู้ประท้วง ที่เป็นนัยยะถึงการไม่กล้าเผชิญหน้าโดยตรง หรือกล้าหาญพอที่จะแสดงออกอย่างตรงไปตรงมาต่อผู้ที่มีอำนาจเหนือกว่า ขณะที่กลุ่มต่อต้านรุ่นใหม่ที่นำเอาสัญลักษณ์ชู 3 นิ้วมาใช้ เป็นการแสดงออกแบบเปิดเผยกล้าเผชิญหน้ามากกว่า และใช้การสื่อความหมายที่ทรงพลังถึง เสรีภาพ-เสมอภาค-ภราดรภาพ แบบที่ชาวเมืองทั้ง 12 เขตลุกขึ้นต้านทานอำนาจของแคปปิตอล (ในภาค 3 เป็นคำตอบของการลุกฮือของชาวเมืองที่น่าติดตามอย่างยิ่ง)

ถึงกระนั้นการใช้สัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมืองไม่ว่าจะแบบใด ก็ต้องระวังและพึงสังวรในข้อจำกัดต่างๆ ที่ดำรงอยู่ในขณะนี้กับการแสดงออกในที่สาธารณะ ท่ามกลางกฎข้อบังคับต่างๆ ที่เมื่อก่อนทำกันได้ตามใจชอบ ไม่มีใครห้าม ไม่มีใครทำอะไรเพราะรัฐให้ทุกคนมีเสรีเต็มที่ แต่เดี๋ยวนี้สถานการณ์ต่างๆ เปลี่ยนไปแล้ว บางทีอาจต้องถามตัวเองว่า คุ้มค่ากับความเสี่ยงหรือไม่?

ขอทิ้งท้ายด้วยประโยคที่ท่านประธานาธิบดีสโนว์กล่าวไว้แบบซ่อนความโหดในรอย ยิ้ม….. “Hope is the only thing stronger than fear.” ความหวังคือสิ่งเดียวที่มีพลังมากกว่าความกลัว ส่วนแคตนิสผู้กล้าหาญกล่าวไว้ตอนหนึ่งว่า….” The promise that life can go on no matter how bad our losses.” คำสัญญาที่ว่า ไม่ว่าจะยากลำบากสูญเสียเพียงใดก็ตาม เราก็ยังคงสามารถดำเนินชีวิตต่อ และผ่านพ้นมันไปได้….