ในช่วงฤดูไข้หวัดใหญ่ปีนี้ ผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกกำลังจับตา ไวรัสไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ใหม่ “Subclade K” ซึ่งเป็นสายพันธุ์ย่อยของ H3N2 เนื่องจากพบการระบาดเพิ่มขึ้นในหลายประเทศ และเริ่มส่งผลต่อเด็กจำนวนมาก บทความนี้จะพ่อแม่เข้าใจสายพันธุ์ใหม่ พร้อมวิธีดูแลลูกให้ปลอดภัย
Subclade K คืออะไร? ทำไมถึงต้องกังวล
Subclade K เป็นสายพันธุ์ย่อยของไวรัส H3N2 ที่เริ่มพบตั้งแต่ช่วงฤดูร้อนในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่น แคนาดา และสหราชอาณาจักร โดยข้อมูลจาก CDC ระบุว่า
จากตัวอย่างสายพันธุ์ H3 ที่ตรวจได้เกือบ 150 ตัวอย่าง พบว่า มากกว่า 50% เป็นสายพันธุ์ Subclade K
ทำให้ผู้เชี่ยวชาญคาดว่ามันเป็นสาเหตุสำคัญของการเพิ่มขึ้นของผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ในปีนี้ โดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุที่มีภูมิคุ้มกันต่ำกว่า
วัคซีนไข้หวัดใหญ่ยังช่วยได้ไหม?
แม้ว่าวัคซีนไข้หวัดใหญ่ปีนี้ อาจไม่ตรงกับสายพันธุ์ Subclade K แบบสมบูรณ์ แต่แพทย์ย้ำว่าวัคซีนยังคงเป็นเกราะป้องกันสำคัญที่สุด
ดร.ทารา นารูลา ผู้เชี่ยวชาญด้านการแพทย์ กล่าวว่า “วัคซีนยังคงเป็นกุญแจสำคัญ ไม่สายเกินไปที่จะฉีด เพราะภูมิคุ้มกันช่วยลดอัตราการป่วยหนักและเสียชีวิตได้ แม้จะไม่ตรงสายพันธุ์ 100%”
ใครคือกลุ่มเสี่ยงที่สุด?
-
เด็กอายุต่ำกว่า 5 ปี
-
ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป
-
ผู้มีโรคเรื้อรัง เช่น เบาหวาน หัวใจ ปอด
-
ผู้ตั้งครรภ์
-
ผู้มีภูมิคุ้มกันต่ำ
เด็กเล็กถือเป็นกลุ่มที่มีโอกาสป่วยรุนแรงมากกว่าผู้ใหญ่ จึงต้องดูแลเป็นพิเศษ
อาการของไข้หวัดใหญ่สายพันธุ์ Subclade K
ผู้เชี่ยวชาญระบุว่าอาการอาจรุนแรงกว่าไข้หวัดใหญ่บางสายพันธุ์ เช่น H1N1 โดยอาการเริ่มหลังติดเชื้อ 1–4 วัน
อาการที่พบบ่อย ได้แก่
-
ไข้สูง หนาวสั่น
-
ปวดเมื่อยเหมือนโดน “รถชน”
-
ปวดศีรษะ
-
เจ็บคอ ไอ
-
คัดจมูก น้ำมูกไหล
-
บางรายมีอาเจียนหรือท้องเสีย โดยเฉพาะเด็ก
แพทย์เตือนว่าไข้หวัดใหญ่ไม่ใช่หวัดธรรมดา เพราะอาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น ปอดบวม ไซนัสอักเสบ หูติดเชื้อ และอาจรุนแรงถึงขั้นเข้าโรงพยาบาล
วิธีปกป้องลูกจาก Subclade K
หัวใจสำคัญคือ “ป้องกันไว้ก่อน” เพราะไวรัสแพร่กระจายได้ง่ายในโรงเรียน สนามเด็กเล่น และที่สาธารณะ
1. ให้ลูกฉีดวัคซีนประจำปี
แม้อาจไม่ตรงสายพันธุ์ แต่ช่วยลดโอกาสป่วยหนักได้มาก
2. สอนล้างมืออย่างถูกวิธี
หลีกเลี่ยงการจับตา จมูก ปาก หลังสัมผัสพื้นที่สาธารณะ
3. เสริมภูมิคุ้มกันด้วยโภชนาการ
อาหารที่มีวิตามินซี โปรตีน และผักผลไม้หลากสีช่วยให้ภูมิคุ้มกันทำงานดีขึ้น
4. หลีกเลี่ยงสถานที่แออัดในช่วงระบาดหนัก
หากจำเป็นให้ใส่หน้ากากอนามัย โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง
5. แยกเด็กป่วยออกจากกิจกรรมที่มีคนรวมตัว
เพื่อไม่ให้แพร่เชื้อให้เด็กคนอื่นในโรงเรียนหรือศูนย์เด็กเล็ก
หากลูกเริ่มมีอาการ ควรทำอย่างไร?
CDC แนะนำว่าเมื่อเริ่มมีอาการคล้ายไข้หวัดใหญ่ควร
-
ให้ลูก พักอยู่บ้านทันที
-
ปรึกษาแพทย์โดยเร็ว เพื่อประเมินว่าต้องใช้ยาต้านไวรัสหรือไม่
-
ดื่มน้ำให้เพียงพอ ลดไข้ตามคำแนะนำของแพทย์
-
เฝ้าระวังอาการหายใจลำบาก ซึม อาเจียนมาก ซึ่งอาจต้องพบแพทย์ด่วน
ยา antiviral จะได้ผลดีที่สุดหากให้ภายใน 48 ชั่วโมงหลังเริ่มมีอาการ
สายพันธุ์ใหม่อย่าง Subclade K อาจทำให้เด็กป่วยหนักได้ง่ายขึ้น แต่พ่อแม่สามารถลดความเสี่ยงได้ด้วยมาตรการพื้นฐาน เช่น การฉีดวัคซีน การรักษาสุขอนามัย และการเฝ้าระวังอาการตั้งแต่เริ่มแรก การเตรียมตัวล่วงหน้าช่วยปกป้องลูกได้มากกว่าที่คิด
อ้างอิง เอบีซีนิวส์








