มณฑล ซินเจียงเป็นมณฑลที่มีมุสลิมมากเป็นลำดับที่สามและตั้งอยู่ทางทิศตะวันตก เฉียงเหนือของประเทศจีน ชื่อเต็มของมณฑลนี้คือเขตปกครองตนเองซินเจียงอุยกูร เป็นมณฑลที่มีพื้นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศจีนและเป็นมณฑลที่มีชายแดนติดต่อกับ ประเทศเพื่อนบ้านมากที่สุด ประกอบด้วยรัสเซีย มองโกเลีย คาซัคสถาน คีร์กีซสถาน ทาจิกสถาน อัฟกานิสถาน อินเดียและปากีสถานรวม 8 ประเทศ ซินเจียงเป็นมณฑลที่มีชาวอุยกูรเป็นส่วนใหญ่ นอกจากนั้นแล้วยังประกอบด้วยชาวฮั่น ชาวหุย ชาวคาซัส ชาวตงเซียง ชาวเคอร์กิซ ชาวซาลา ชาวทาจิก ชาวอุซเบกและชาวทาทาร์เป็นต้น ผลการสำรวจประชากรของมณฑลซินเจียงในปี 2009 ประชากรในมณฑลดังกล่าวมีประมาณ 213 ล้านคน
เทียน ซานเป็นเทือกเขาที่แบ่งซินเจียงเป็นแนวเหนือใต้ สภาพภูมิศาสตร์ของทางเหนือคือทุ่งหญ้าและที่ราบสูง ทางใต้นั้นคือทะเลทราย ด้วยเหตุนี้สภาพภูมิอากาศทั้งเหนือใต้จึงมีความแตกต่างกันมาก ช่วงฤดูหนาวอากาศทางเหนือจะสูงกว่าทางใต้ ฤดูร้อนอากาศทางใต้จะสูงกว่าทางเหนือ เดือนมกราคมเป็นเดือนที่มีอากาศหนาวที่สุด มีอุณหภูมิเฉลี่ยต่ำกว่าลบ 20 องศาเซลเซียส เดือนกรกฎาคมเป็นเดือนที่อากาศร้อนที่สุดอุณหภูมิโดยเฉลี่ยสูงกว่า 33 องศาเซลเซียส ด้วยเหตุนี้สภาพอากาศตลอดทั้งปีของซินเจียงจึงมีความแตกต่างกันมากและเป็น เหตุให้ทรัพยากรธรรมชาติต่างๆ ของซินเจียงมีความหลากหลาย ซินเจียงเป็นมณฑลที่มีธารน้ำแข็งมากกว่า 500 สาย มีทะเลสาบครอบคลุมเนื้อที่ถึง 9700 ตารางกิโลเมตร และทะเลทรายในซินเจียงมีเนื้อที่สองในสามของทะเลทรายทั้งหมดในประเทศจีน ทะเลทรายเหล่านี้อุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรเหมืองแร่และน้ำมัน ตามนโยบายการพัฒนาเศรษฐกิจของรัฐบาล ทำให้คุณภาพชีวิตและรายได้ของประชากรดีขึ้น ทั้งนี้การคมนาคมทั้งทางบกและทางอากาศก็มีความสะดวกสบายมากกว่าเดิม มณฑลซินเจียงจึงเป็นมณฑลยุทธศาสตร์ที่สำคัญของจีนมณฑลหนึ่ง
ทัศนียภาพของเทียนซาน
ซินเจียงเป็นส่วนหนึ่งของแผ่นดินจีนตั้งแต่ราชวงค์ฮั่นตะวันตก (ก่อน ค.ศ. 202 – ค.ศ. ที่ 9) สมัยนี้เรียกดินแดนแห่งนี้ว่าอาณาจักรทางตะวันตก ซึ่งจะถูกกลุ่มปศุสัตว์รุกรานเสมอ สมัยราชวงค์ถังก็ได้ถูกรวมเป้นส่วนหนึ่งของจีนอีกครั้ง ในปี ค.ศ.1757 กษัตริย์เฉียนหลงของราชวงค์ชิงสามารถพิชิตกลับมาเป็นส่วนหนึ่งของ ผืนแผ่นดินจีนอีกครั้ง และพระราชทานนามว่า ซินเจียง ซึ่งหมายถึงอาณาเขตเดิมที่หวนหลับมาใหม่
ชาวอุยกรูเป็นชนส่วนมากที่นับถือศาสนาอิสลามในซินเจียง ศาสนาอิสลามที่เผยแพร่เข้าสู่ซินเจียงนั้นมีความสัมพันธ์กับตะวันออกกลาง โดยตรง ก่อนที่ศาสนาอิสลามจะเข้าสู่ซินเจียงนั้น ชนดั้งเดิมในพื้นที่ดังกล่าวจะนับถือศาสนา Shaman ลัทธิบูชาไฟและศาสนาพุทธ จนกระทั่งศาสนาพุทธมีบทบาทมากกว่าศาสนาอื่นๆ ปลายศตวรรษที่ 10 ถึงต้นศตวรรษที่ 11 ศาสนาอิสลามได้เข้าสู่ซินเจียง ซึ่งตรงกับสมัยของราชวงค์ Kalahan หลังจากนั้นศาสนาอิสลามก็ค่อยๆ ขยายจากทางตะวันตกไปทางตะวันออกของมณฑล จนกระทั่งเกิดเป็นชุมชนมุสลิมขึ้นในเมืองต่างๆ ที่สำคัญๆ
กล่าวกันว่ารูปแบบการเผยแพร่ศาสนาอิสลามในซินเจียงนั้นมีทั้งแบบสันติวิธีและรูป แบบของสงคราม ในปี 932 กษัตริย์ของราชวงค์ Kalahan เข้ารับศาสนาอิสลามด้วยความสมัครใจ หลังจากที่เขาเปลี่ยนแปลงศาสนา ผู้ที่อยู่ใต้ปกครองของเขาก็เปลี่ยนมารับศาสนาอิสลามเหมือนกัน การเผยแพร่ศาสนาอิสลามในช่วงแรกๆ ส่วนมากเป็นเผยแพร่แบบสงคราม หลังจากกษัตริย์ Shatukebugelahan ซึ่งเป็นกษัตริย์ที่ทรงความสามารถแห่งราชวงค์ Kalahan ตลอดระยะเวลา 45 ปีที่เขาดำรงตำแหน่งกษัตริย์ เขาได้ยึดหลักการ “ญิฮาด” ในการเผยแพร่ศาสนา โดยการทำสงครามจากทางเหนือลงมาสู่ทางใต้ ทำให้ประชาชนเปลี่ยนจากนับถือศาสนาพุทธมานับถือศาสนาอิสลาม เขาจึงเป็นชาวอุยกูรที่ทำคุณงามความดีให้กับศาสนาอิสลาม ด้วยเหตุนี้ แม้ศาสนาอิสลามเข้าสู่ซินเจียงช้ากว่าศาสนาอื่นๆ แต่การพัฒนาของศาสนาอิสลามนั้นจะเร็วกว่า
หลังจากการสถาปนาของสาธารณรัฐประชาชนจีน ศาสนาอิสลามในมณฑลซินเจียงมีความเฟื่องฟูมากขึ้น โดยเฉพาะหลังจากจีนเปิดประเทศ หลังปี 1978 จำนวนมัสยิดกระจายอยู่ตามบริเวณต่างๆ ของมณฑลทั้งหมด 20,010 แห่ง นอกจากชาวอุยกูรแล้ว ยังมีชาวหุย ชาว คาซัส ชาวตงเซียง ชาวเคอร์กิซ ชาวซาลา ชาวทาจิก ชาวอุซเบกและชาวทาทาร์ที่นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี่ มีกลุ่มคนจำนวนน้อยที่นับถือนิกายชีอะห์และซูฟีย์ มีหน่วยงานที่ดูแลศาสนาอิสลามทั้งหมด 79 หน่วยงาน หน่วยงานต่างๆ เหล่านี้สามารถดำเนินกิจกรรมต่างๆ ภายใต้กฎหมายและนโยบายได้อย่างเสรี เช่นการแลกเปลี่ยนทางด้านศาสนากับโลกมุสลิม การผลิตและอบรมผู้ที่มีความรู้ทางด้านศาสนา และการดูแลทางด้านศาสนกิจต่างๆ ตั้งแต่ปี 1990 มีการจัดการเรียนภาษาอาหรับให้กับมุสลิมในระดับท้องถิ่นและระดับเมือง มากกว่า 100,000 ราย ซึ่งการจัดอบรมในลักษณะนี้ ไม่เพียงแต่เป็นการเพิ่มพูนความรู้ทางด้านศาสนาแล้วยังเป็นการยกระดับคุณภาพ ชีวิตให้สูงขึ้นด้วย
ใน ประวัติศาสตร์จีนนั้นเรียกชาวอุยกรูว่า Huiqi ซึ่งมีเป็นชนพื้นเมืองที่อยู่ทางด้านใต้ของมณฑลและมีอีกสันนิษฐานหนึ่งกล่าว ว่าชาว Huiqi นั้นเป็นชนที่มาจากมองโกลและทางใต้ของไซบีเรีย และด้วยสาเหตุที่ซินเจียงมีบทบาทในการเปิดรับวัฒนธรรมของคาบสมุทรอาหรับเข้า สู่จีน ตั้งแต่เส้นทางสายไหมในอดีตกาล ดินแดนแห่งนี้จึงเป็นดินแดนที่ผสมผสานและรวบรวมวัฒนธรรมต่างๆ มัสยิด Aitiga’er ของเมือง Kashi เป็นสิ่งที่สะท้อนให้เห็นเอกลักษณ์ที่มีความแตกต่างจากมัสยิดที่ได้รับ อิทธิพลทางด้านสถาปัตยกรรมของจีนอย่างสิ้นเชิง
มัสยิด Aitiga’er เป็นผลงานของบรรพบุรุษชาวอุยกูร ชื่อ Aitiga’er มาจากการผสมคำของภาษาอาหรับและภาษาเปอร์เซียแปลว่า ลานกว้างของวันสำคัญ เป็นมัสยิดเก่าแก่ที่มีประวัติ 500 กว่าปี ในอดีตที่ตั้งของมัสยิดคือกุโบร์ที่รกร้าง มีการก่อสร้างครั้งแรกเมื่อ ค.ศ. 1442 และได้ขยายในปี ค.ศ.1537 โครงสร้างของมัสยิดที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ก่อสร้างหลังปี 1872 กล่าวกันว่า มีเศษฐีนีคนหนึ่ง ต้องการเดินทางไปยังประเทศปากีสถาน ระหว่างทางได้ล้มป่วยและเสียชีวิตที่เมืองนี้ ก่อนสิ้นชีวิตได้เหนียตและอุทิศทรัพย์สินที่มีอยู่ให้กับการก่อสร้างมัสยิด ทั้งหมด หลังจากการก่อสร้างบนเนื้อที่ 16,800 ตารางเมตร ได้แบ่งบริเวณมัสยิดออกเป็นสองส่วน คือ สถานที่ละหมาดและส่วนที่ใช้สอนศาสนา สามารถรับเด็กนักเรียนกินนอน 400 คน ประตูมัสยิดสูง 12 เมตร อาคารในมัสยิดสูง 4.7 เมตร ทั้งสองข้างของมัสยิดมีหออะซานที่มีความสูง 18 เมตร กล่าวกันว่าขณะสร้างมัสยิดมีชาวบ้านบริจาคเสารูปแบบต่างๆ ตามฐานะของตัวเอง จึงทำให้เสาภายในมัสยิดมีลักษณะที่แตกต่างกัน โครงสร้างของมัสยิดโดยรวมเป็นรูปสี่เหลี่ยม สะท้อนให้เห็นสถาปัตยกรรมที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวอุยกูรและความแตกต่างจากมุ สลิลของมณฑลอื่นๆ ในจีน ในปี 2006 ทางการได้รวบรวมสถิติจำนวนผู้ละหมาด อีฎิลฟิตรี มีจำนวนผู้ละหมาดบริเวณลานมัสยิดที่มีเนื้อที่ 38,000 ตารางเมตร ทั้งหมด 45,000 คน ปัจจุบันมัสยิด Aitiga’er เป็นมรดกทางด้านสถาปัตยกรรมที่ทางรัฐบาลจีนได้อนุรักษ์และมีโครงการที่จะ ซ่อมแซมบำรุงในระยะยาว ขณะนี้รัฐบาลจีนและเพื่อนบ้านอีกสี่ประเทศกำลังยื่น “เส้นทางสายไหม” เป็นมรดกโลก มัสยิด Aitiga’er ที่ตั้งอยู่บนเมือง Kashi ซึ่งเป็นเมืองที่เชื่อมเส้นทางสายไหมเส้นใต้และเส้นกลาง เชื่อว่าในอนาคตมัสยิดดังกล่าวจะมีความสำคัญมากยิ่งขึ้น
มณฑล ซินเจียงเป็นมณฑลที่มีอาณาเขตกว้างใหญ่ ลักษณะทางภูมิศาสตร์มีความหลากหลาย ไม่เพียงแต่มีทัศนียภาพที่สวยงามแล้วยังมีทรัพยากรที่อุดมสมบูรณ์ด้วย เหล่านี้เป็นปัจจัยพื้นฐานที่ทำให้ชนกลุ่มต่างๆ ในมณฑลดังกล่าว สามารถดำเนินชีวิตได้อย่างมั่นคง แต่กระนั้นก็ตามการอาศัยอยู่ในพหุสังคมที่มีความหลายหลาย ย่อมเลี่ยงการกระทบกระทั่งกันลำบาก
หลายๆ ท่านคงได้ยินเหตุการณ์ต่างๆ ของมณฑลซินเจียงในอดีต ผู้เขียนเห็นว่าขอเพียงแต่ยึดหลักการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เข้าใจซึ่งกันและกันก็จะสามารถทำให้สังคมเกิดความปรองดองและผาสุกได้ ถ้าเป็นเช่นนั้นแล้ว มณฑลซินเจียงก็จะสมกับสมญานามที่ท่านเจอวเอินไหลกล่าวไว้ว่า “แผ่นดินอันล้ำค่า”
แหล่งข้อมูลอ้างอิง :
http://www.tianshannet.com.cn/news/content/2009-09/21/content_4469944.htm
http://www.e56.com.cn/system_file/minority/weiwuerzu/lishi.htm
http://www.xjlxw.com/zjxj/canyinmeishi/5305.html
http://www.xinjiang.gov.cn/10013/10003/10014/10004/2004/10437.htm
แหล่งที่มา : พับลิกโพสต์ ฉ.37 กุมภาพันธ์ 2554
อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
nisareen@mfu.ac.th