ฉบับ ที่ผ่านมาเราได้ทราบรายละเอียดของมุสลิมที่อยู่ในมณฑลกานซู ที่อยู่ทางภาคตะวันตกเฉียงเหนือ ฉบับนี้เรามารู้จักเรื่องราวของศาสนาอิสลามในมณฑลเหอหนาน ที่ตั้งอยู่ทางภาคกลางตอนใต้ของประเทศจีน
คำ ว่า “เหอหนาน” ถ้าแปลตามตัวคือ ทางด้านใต้ของแม่น้ำ ซึ่งหมายถึง ทางด้านใต้ของแม่น้ำฮวงโห อย่างที่ทราบกันว่า แม่น้ำฮวงโหนั้นคือ อู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญของประเทศจีน จึงไม่น่าแปลกเลยที่มณฑลดังกล่าวมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์จีนค่อนข้างมาก
โดย เฉพาะเป็นศูนย์กลางของวัฒนธรรมในภาคกลางของจีน เป็นแหล่งกำเนิดวัฒนธรรมทางตัวอักษรจีน ศูนย์การค้าในอดีต วัฒนธรรมทางด้านความคิด แพทย์แผนจีน วรรณกรรมและวูซูเป็นต้น
บน เนื้อที่ 167,000 ตารางกิโลเมตร ของมณฑลเหอหนาน มีชาวหุยอาศัยอยู่ประมาณ 1,988,440 คน ซึ่งกระจายอยู่ในเมืองหลักต่างๆ ทั้งหมด 17 เมืองและ 110 อำเภอ ชาวหุยในมณฑลดังกล่าวคือทายาทของชาวเปอร์เซียที่เข้ามาค้าขายในสมัยรา ชวงค์ซ่งและราชวงค์ถัง ซึ่งคนจีนเรียกขานชาวเปอร์เซียนี้ว่า “หูเคอะ” (แขกที่มาจากตะวันตก) แต่มีจำนวนไม่มาก
จน กระทั่งสมัยราชวงค์หยวน มีชาว “เซ่อมู่เหริน” (คำเรียกแทนชาวตะวันตกในสมัยราชวงค์หยวน) ที่ถูกเกณฑ์มาทำนาในบริเวณดังกล่าว และในสมัยราชวงค์หมิงและชิง มีมุสลิมที่มาค้าขาย หลบภัย และด้วยสาเหตุอื่นๆ มาตั้งถิ่นฐาน บริเวณดังกล่าว จนกลายเป็นชุมชนของชาวหุยที่กระจายอยู่ไปทั่วในมณฑลเหอหนาน
เนื่อง ด้วยสาเหตุในประวัติศาสตร์ทำให้ตำราชาวหุย ที่จารึกเป็นลายลักษณ์อักษรของมณฑลเหอหนานนั้นมีไม่มาก แต่เราสามารถศึกษาข้อมูลของชาวหุยได้จากตำราท้องถิ่นต่างๆ เขตที่ชาวชาวหุยอาศัยอยู่ค่อนข้างมากในมณฑลดังกล่าวมีทั้งหมดสามเขตซึ่งมี รายละเอียดดังนี้คือ
เขต Chanhe ในเมืองลั่วหยาง เพราะเมืองลั่วหยางเคยเป็นเมืองหลวงในสมัยราชวงค์ถัง เป็นเขตที่มีความสัมพันธ์การเผยแพร่ศาสนาอิสลามในประเทศจีนโดยตรง และเขตดังกล่าวเป็นปลายทางของเส้นทางสายไหมและเส้นทางแห่งเครื่องเทศ (เส้นทางการขนส่งทางทะเลระหว่างประเทศจีนกับกลุ่มประเทศอาหรับ ) จึงเป็นศูนย์กลางเชื่อมความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าในสมัยนั้น ซึ่งเขต Chanhe เป็นศูนย์กลางการแลกเปลี่ยนทางด้านสินค้าที่สำคัญ โดยเฉพาะเป็นศูนย์รวมการค้าเครื่องเทศที่สำคัญของชาวอาหรับและชาวเปอร์เซีย หลังจากนั้นก็มีการตั้งถิ่นฐานอยู่จนกลายเป็นชาวหุยกลุ่มแรกของบริเวณดัง กล่าว
ในสมัยราชวงค์หยวน มีชาวหุยที่อพยพมาอยู่บริเวณดังกล่าวเป็นจำนวนมาก จนมีการก่อนสร้างมัสยิดขึ้นในสมัยนี้ จากหลักฐานต่างๆเชื่อว่าชาวหุยที่มีแซ่ (นามสกุล) ว่า An,Shi,Mi และ He นั้นล้วนแต่เป็นชาวหุยที่มาจากเขตดังกล่าว ศาสนาอิสลามในเขตดังกล่าวเป็นศาสนานิกายซุนนี่ มีมัสยิดทั้งหมด 7 แห่ง เช่นมัสยิดXinjie เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดในเมืองลั่วหยาง สร้างเมื่อสมัยกลางราชวงค์หมิง มีประวัติมากว่า 400 กว่าปี
เขต Guancheng ในเมืองเจิ้งโจว เป็นเมืองที่อยู่ทางตะวันออกของเมืองลั่วหยาง และเป็นนครหลวงของมณฑลเหอหนาน ซึ่งเป็นเส้นทางที่ทูตและพ่อค้าอาหรับที่มาจากทางทะเลต้องผ่านและพักค้าง ซึ่งมีบางส่วนได้ตั้งถิ่นฐานอยู่บริเวณดังกล่าว และในสมัยราชวงค์ซ่ง มีนโยบายสนับสนุนการค้าของต่างชาติ ซึ่งก็มีพ่อค้าชาวอาหรับตกค้างอยู่บริเวณดังกล่าวบ้างเล็กน้อย
ชาว หุยในเขตดังกล่าวเพิ่มมากขึ้นในสมัยราชวงค์หยวน เจงกิสข่านออกรบกับตะวันตก มีชาวเปอร์เซียและชาวอาหรับส่วนหนึ่ง ที่ถูกเกณฑ์มาทำนาที่บริเวณดังกล่าว
ปัจจุบัน เขต Guancheng มีมัสยิดทั้งหมด 6 แห่ง มัสยิด Beidasi เป็นมัสยิดที่เก่าแก่ที่สุดของเมืองเจิ้งโจว ตั้งอยู่บนถนนที่ชื่อว่า Qingzhensijie ซึ่งเป็นชุมชนของชาวหุยและชาวฮั่นในเมืองดังกล่าว เป็นถนนที่มีการจำหน่ายอาหารพื้นเมืองของชาวหุยและชาวฮั่นอย่างคึกคัก และเป็นชุมชนชาวหุยที่เก่าแก่ที่สุดของเมือง
เขต Shunhe ของเมืองไคเฟิง บรรพบุรุษของชาวหุยในเขตดังกล่าวก็มีที่มาคล้ายกับทั้งสองเขตข้างต้น คือสามารถไล่ไปถึงสมัยราชวงค์ถัง และในสมัยราชวงค์หมิงชิง เป็นช่วงที่มีชาวหุยอพยพมาอยู่มากที่สุด
เมืองไคเฟิงเป็นเมืองที่มีมัสยิดค่อนข้างมาก ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 มีมัสยิดมากถึง 25 แห่ง ปัจจุบันมีทั้งหมด 43 แห่ง
Dongdasi เป็นมัสยิดที่ตั้งอยู่บริเวณเขต Shunhe เป็นมัสยิดในรูปแบบของสถาปัตยกรรมจีน ซึ่งก่อสร้างมาตั้งแต่สมัยราชวงค์หมิง (ค.ศ.1368 -1398 ) ซึ่งมีเนื้อที่ทั้งหมด 480 ตารางเมตร สามารถจุคนละหมาดได้มากถึง 600 คน ในปี 2003 ได้ก่อสร้างบริเวณด้านหลังของมัสยิดเป็นศูนย์กิจกรรมทางด้านวัฒนธรรมของ มุสลิม มีเนื้อที่กว่า 1,600 ตารางเมตร
บริเวณ นี้จึงกลายเป็นชุมชนที่สำคัญของชาวหุยในเขตดังกล่าว เป็นทั้งศูนย์กลางทางด้านการค้า วัฒนธรรม การศึกษา บริการและท่องเที่ยวเป็นต้น ในปี ค.ศ. 2006 ทางรัฐบาลจีนได้จัดให้โบราณสถานที่ควรอนุรักษ์ระดับประเทศ
เนื่องด้วยตอนกลางของประเทศจีนเป็นแหล่งอารยะธรรมที่สำคัญตั้งแต่ในอดีต วัฒนธรรมของศาสนาอิสลามจึงได้ผสานกับวัฒนธรรมของศาสนาอื่นๆ จึงกลายเป็นวัฒนธรรมทางศาสนาที่มีความหลากหลาย ด้วยเหตุนี้เอง
มณฑล เหอหนานมีมัสยิดกว่า 500 แห่งตั้งแต่ปลายราชวงค์ชิง (ก่อน ค.ศ. 1911) อนึ่งมัสยิดสตรีที่กระจายอยู่ในมณฑลดังกล่าวตั้งแต่ปลายราชวงค์ชิง ก็เป็นผลพวงของการผสมผสานวัฒนธรรมต่างๆ อย่างที่ทุกคนประจักษ์
นโยบายต่างๆ ของมณฑลยูนนานที่มีต่อมุสลิมนั้นสามารถพูดได้ว่าค่อนข้างจะเอื้อต่อการพัฒนา ทางด้านต่างๆ โดยเฉพาะทางด้านธุรกิจ จะเห็นได้ชัดเจนจากธุรกิจอาหาร ซึ่งปัจจุบันนี้มีผู้ประกอบการในมณฑลทั้งหมดสี่หมื่นกว่าราย มีพนักงานทั้งหมดสองแสนกว่าคน และมีเครือข่ายของผู้ ประกอบการอาหารฮาล้าลทั่วประเทศทั้งหมด 34 แห่ง
บริษัท ที่ประสบความสำเร็จในธุรกิจอาหารฮาล้าล เช่น บริษัท Baishifu ซึ่งเป็นบริษัทแปรรูปผลิตภัณฑ์ต่างๆ ของเนื้อแกะและอาหารเจ เริ่มก่อตั้งตั้งแต่ปี ค.ศ.2000 หลังจากดำเนินกิจการมาถึงปัจจุบัน บริษัทมีเนื้อที่ใช้สอยทั้งหมด 20,000 กว่าตารางเมตร เงินทุน 20 ล้านหยวน มูลค่าการผลิตต่อปี 90 ล้านหยวน พนักงานในบริษัท 1,800 กว่าคน มีช่างเทคนิคทั้งหมด 200 กว่าคน
ในบริษัทประกอบด้วยเครื่องจักรที่ทันสมัย และผ่านมาตรฐาน ISO 9001 และ 2000 ผลิตภัณฑ์ของบริษัทประกอบด้วย ผลิตภัณฑ์จากถั่ว แป้ง เครื่องปรุงรสของหม้อไฟและเนื้อแกะ มีวางจำหน่ายตามเมืองและมณฑลต่างๆ 20 กว่าแห่งทั่วประเทศจีน
เพราะการพัฒนาอย่างรวดเร็วของบริษัทจนทำให้บริษัท Baishifu กลายเป็นบริษัทที่มีความโดดเด่นในภาคตะวันออกของมณฑลเหอหนาน
บริษัท Baishifu ยังมีความมุ่งหวังที่จะสร้างความร่วมมือกับนักธุรกิจทั้งในและต่างประเทศ และอีกตัวอย่างหนึ่งในธุรกิจอาหารฮาล้าลที่ประสบความสำเร็จคือ บริษัทในเครือ Yongda ซึ่งเป็นบริษัทชำแหละชิ้นส่วนไก่ที่มีการส่งออกประเทศต่างๆ เช่นประเทศญี่ปุ่น และมีเฟรนไชส์ ภายในมณฑลเหอหนานจำนวน 73 แห่ง ได้รับยกย่องว่าเป็นบริษัทที่มีสินค้าขึ้นชื่อในประเทศจีน เป็นบริษัทที่ได้รับยกย่องเป็นอาหารปลอดภัยระดับประเทศ บริษัทส่งออกที่สำคัญของมณฑลเหอหนาน ผ่านการรับรองมาตรฐานต่างๆ เพื่อส่งออกของประเทศเกาหลีใต้ นอกจากนั้นแล้วยังได้รับรอง ISO14000 และได้รับรอง HACCP ของประเทศจีน เป้าหมายของบริษัทในอนาคตคือ จะขยายการผลิตเนื้อไก่ต่อปีให้มากถึง 120,000 ต่อปี และขยายเฟรนไชส์ให้มากถึง 1,000 แห่ง
จะ เห็นได้ว่ามุสลิมในมณฑลเหอหนานที่มีความเป็นเอกลักษณ์ส่วนตัวนั้น เนื่องมาจากเบื้องหลังทางวัฒนธรรมด้านประวัติศาสตร์ ภูมิศาสตร์และลักษณะทางด้านนโยบายของการเมืองการปกครอง
แหล่งข้อมูลอ้างอิง
— http://www.people.com.cn/item/flfgk/dffg/1997/D122004199770.html — http://bbs.jzrb.com/dispbbs.asp?boardid=2&id=78413 – http://news.sina.com.cn/o/2009-08-08/074416088450s.shtml — http://tieba.baidu.com/f?kz=571559517 — http://www.islamzx.com/article_view.asp?id=8819 — http://www.golden-book.com/booksinfo/64/644540.html
แหล่งที่มา : พับลิกโพสต์ ฉ.36 มกราคม 2554
อาจารย์ประจำ มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง
nisareen@mfu.ac.th