“รัฐประหาร” เพื่อแผ้วถางทางสู่ยุคสมัยหน้า

รัฐประหาร 20 พฤษภา 2557 เป็นอีกหมุดหมายสำคัญในประวัติศาสตร์การเมืองไทยที่ต้องบันทึกเอาไว้ เค้าลางของรัฐประหารปรากฏชัดอยู่แล้วตั้งแต่วันแรกที่มีการประกาศกฎอัยการ ศึก (ดังนั้น บทความชิ้นนี้จึงระบุว่าวันปฏิบัติการยึดอำนาจคือวันที่ 20 แทนที่จะเป็นวันที่ 22) ดังสังเกตได้จาก “Keywords” ในคำสัมภาษณ์ของท่านประยุทธ์ในวันแรกที่มีการประกาศกฎอัยการศึกว่า “ตอนนี้รัฐบาลอยู่ที่ไหนล่ะ ตอนนี้เขาอยู่ไหนกัน ก็ทำกันไปดิ ทำได้ก็ทำไป นะ ประเทศชาติมันก็ต้องทำงานน่ะ” และที่ว่า “ตอนนี้ข้าราชการทำงาน เอาแค่นี้ ผมไม่ไปยุ่งกับใคร ..ข้าราชการกับทหารทำงานเพื่อบ้านเมืองนี้ไม่ต้องเป็นกังวล” นัยสำคัญประการแรกของรัฐประหารครั้งนี้จึงอยู่ที่การค่อยๆ รวบอำนาจทีละสเต็ปเป็น “รัฐประหารแบบค่อยเป็นค่อยไป” (Incremental Coup)


แม้ รัฐประหารครั้งก่อนๆ จะมีเสียงค่อนขอดจากสาธารณชนในวงกว้าง อาทิ ผู้ก่อการ รัฐประหารส่วนใหญ่จะมีทรัพย์สินเพิ่มขึ้น, หลังรัฐประหาร กองทัพมักจะได้รับงบประมาณเพิ่มขึ้น และมักเป็นงบประเภทงบความมั่นคงและงบลับ ที่มิอาจตรวจสอบได้, ภายใต้ข้ออ้างเพื่อส่วนรวมที่ประดิษฐ์สร้างขึ้นด้วยคำพูดสวยหรู แท้จริงแล้วการยึดอำนาจเป็นเพียงการต่อสู้แย่งชิงอำนาจกันระหว่างชนชั้นนำ ฝ่ายต่างๆ ฯลฯ แต่รัฐประหารครั้งนี้ไม่เหมือนกัน รัฐประหารครั้งนี้เป็นไปโดยเจตนาเพื่อประเทศชาติโดยบริสุทธิ์แท้จริง ซึ่งเราไม่จำเป็นต้องรบกวนเวลาให้ช่วยพิสูจน์แต่อย่างใด ของมันประจักษ์ชัดในตัวเองอยู่แล้ว อย่าได้สงสัยเยอะ

รัฐประหารครั้งนี้จำเป็นต้องทำเพื่อยุติความขัดแย้งทางการเมืองที่กลุ่มฝ่ายต่างๆ พาสังคมก้าวไปสู่หุบเหว ที่ก้นเหวแวดล้อมด้วยทางตัน เปรียบเหมือนหมากรุกที่ต่างฝ่ายต่างเหลือขุนกันคนละตัว ไล่รุกกันอย่างไรก็มิอาจได้ข้อชี้ขาดได้ การล้มกระดานเพื่อตั้งกติกาใหม่ร่วมกัน แล้วเริ่มเดินกระดานใหม่ จึงเป็นสิ่งจำเป็น กระนั้น หากพิจารณาจากข้อมูลและจังหวะก้าวแต่ละขั้นตอน ก็จะพบว่า กองทัพมิได้ตัดสินใจทำรัฐประหารหลังจากที่กลุ่มการเมืองฝ่ายต่างๆ คุยตกลงกันไม่ได้แต่อย่างใด หากแต่รัฐประหารเป็นแผนการที่วางเอาไว้ และมีการ เตรียมพร้อมล่วงหน้าแล้วอย่างละเอียดลออ ลุ่มลึก เพื่อเป้าหมายใหญ่ที่คาดหวังไว้แต่แรก

นักวิชาการบางส่วนพยายามชี้ชวนให้เราทำความเข้าใจพัฒนาการทางการเมืองไทยโดยถอย มาดูภาพประวัติศาสตร์ระยะยาว อันจะทำให้เห็นว่า หมากแต่ละกระดานเป็นการปะทะ ต่อสู้ ต่อรองเชิงอำนาจกันมาอย่างยาวนานนับตั้งแต่ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครอง 2475 ระหว่างขั้วอำนาจเก่าที่ตกค้างมาก่อนหน้าปฏิวัติ กับขั้วอำนาจใหม่ที่ก่อตัวขึ้นจากระบบ-โครงสร้างการเมืองหลังปฏิวัติ [ดูเพิ่มเติมได้ที่ ท็อปปลิ้ง เดม็อคเครซี่ ของธองจาย เวนิชชาคูร] กระนั้น แต่ละขั้วก็หาได้มีความเป็นเอกภาพเป็นเนื้อเดียวและหยุดนิ่งไม่ หากแต่แตกออกเป็น กลุ่มมุ้งภายในขั้วเดียวกัน ที่มีการต่อสู้ต่อรองและแย่งชิงอำนาจนำกันมาเสมอ และต่างก็มักจะมีสายสัมพันธ์เชื่อมต่อกับฝักฝ่าย กลุ่มมุ้งในอีกขั้วหนึ่ง พัวพันกันอย่างกับเส้นสปาเก็ตตี้ อย่างน้อยที่สุด การเกี่ยวดองเชื่อมสัมพันธ์ระหว่าง ‘ทุนเก่า’ และ ‘ขุนนางอำมาตย์’ กับ ‘ทุนใหม่’ ซึ่งรวมทั้ง ‘เจ้าสัว’ ก็ปรากฏชัดในช่วงสมัยจอมพลสฤษดิ์ [ดูเพิ่มเติมได้ที่ สังศิต พิริยะรังสรรค์. ทุนนิยมขุนนางไทย.]

ดังนั้น ภายใต้ฉากหน้าที่เห็นเป็นการแข่งขันหมากรุกแต่ละกระดาน จึงแฝงเร้นไว้ด้วยภาพของโครงข่ายสัมพันธภาพเชิงอำนาจที่สลับซับซ้อนซึ่งปรับ ตัวไปตามยุคสมัย กล่าวคือเมื่อยุคสมัยเปลี่ยนแปลงไป สัมพันธภาพเชิงอำนาจในสังคมการเมืองก็ต้องปรับเปลี่ยนตาม สำหรับกรณีประเทศไทย การทะเยอทะยานขึ้นมาของทักษิณสั่นคลอนดุลยภาพของโครงข่ายสัมพันธภาพดังกล่าว จนการปรับตัวของระบบเกิดขึ้นในระดับที่รุนแรงและยังไม่สามารถหาจุดดุลยภาพ ใหม่ที่ลงตัวได้ นี่คือคลื่นพลังงานลูกหนึ่งที่สั่นไหวอยู่ข้างใต้ภูมิทัศน์ความขัดแย้ง ทางการเมืองที่ยืดเยื้อเรื้อรังมาตลอด 8 ปีที่ผ่านมา

อย่างไรก็ตาม การโค่นทักษิณและเครือข่ายหรือที่เรียกว่า ระบอบทักษิณ เป็นเพียงหมุดหมายย่อยของรัฐประหารครั้งนี้เท่านั้น แต่หมุดหมายใหญ่ของรัฐประหารครั้งนี้อยู่ที่การรวบอำนาจเพื่อเป็นผู้รับผิด ชอบหลักในการจัดระเบียบสัมพันธภาพเชิงอำนาจข้างต้นเสียใหม่พร้อมกับบังคับ วิถีก้าวข้ามช่วงระยะเวลาเปลี่ยนผ่าน … ที่สำคัญใน 4 เรื่อง คือ (1) การก้าวเข้าสู่ประชาคมอาเซียน: ประเทศไทยในฐานะศูนย์กลางเชิงภูมิศาสตร์ จำเป็นที่จะต้องมีรัฐบาลที่คำนึงถึงประเทศชาติมากกว่าผลประโยชน์เชิงธุรกิจของพวกพ้อง รับผิดชอบต่อส่วนรวมมากกว่าส่วนตน เพื่อออกแบบและวางรากฐานสำหรับการแสวงผลประโยชน์แห่งชาติในยุคสมัยของการ อยู่ร่วมกันเป็นประชาคม (2) การแก้ไขรัฐธรรมนูญ: รัฐธรรมนูญฉบับเก่ายังไม่สามารถขจัดนักธุรกิจการเมืองและนักเลือกตั้งไปได้ อย่างหมดจด ดังนั้น จึงจำต้องแก้ไขใหม่ในหลายๆ ส่วน โดยเฉพาะอย่างยิ่งส่วนที่ว่าด้วยระบบการเลือกตั้ง เพื่อเปลี่ยนผ่านระบอบการเมืองประชาธิปไตยไปสู่ระบอบประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ แบบ กอปรด้วยธรรมาธิปไตยเป็นหลักประจำใจ ในระยะของกระบวนการร่าง รัฐธรรมนูญฉบับใหม่จำเป็นต้องมีคณะผู้ปรารถนาดีต่อประเทศชาติอย่างสุดจิต สุดใจและบริสุทธิ์อย่างกองทัพเป็นผู้กุมอำนาจและทิศทางของกระบวนการเอาไว้ และตัดโอกาสของการโต้เถียง สงสัย ตั้งคำถามให้มากที่สุดเพื่อสร้างความเห็นพ้องต้องกันและสมานฉันท์สามัคคี และ (3) การปฏิรูปโครงสร้างประเทศ: แม้จะมีความพยายามปฏิรูปประเทศมาหลายครั้ง ปรากฏเป็นเอกสารหลายฉบับ แต่ละฉบับก็มักพูดในเรื่องซ้ำๆ กัน เสนอเรื่องซ้ำๆ กัน แต่เราก็ยังต้องยืนยันปฏิรูปต่อไป โดยเฉพาะอย่างยิ่งการโค่นล้มระบบอุปถัมภ์ เพื่อเปลี่ยนผ่านประเทศไปสู่สังคมธรรมาภิบาล อุดมคุณธรรม มโนธรรม ศีลธรรม จริยธรรม กอปรด้วยคุณความดีทั้งหมดทั้งสิ้น เป็นสังคมใหม่ที่ซึ่งพลเมืองสามารถถึงในธรรมบรรลุโสดาบันได้ด้วยตนเองโดยมิ ต้องออกบวช

นี่ คือวาระเปลี่ยนผ่าน 5 ประการสำคัญของประเทศ นัยสำคัญประการที่สองของรัฐประหารครั้งนี้อยู่ตรงนี้ คือ อยู่ตรงที่ความหมายใจของกองทัพที่จะกุมอำนาจนำในการจัดระเบียบสัมพันธภาพ เชิงอำนาจที่ยุ่งเหยิงเสียใหม่เพื่อปรับระบบให้สอดรับกับการเปลี่ยนผ่านของ ยุคสมัยดังกล่าวข้างต้น พร้อมทั้งสร้างหลักประกันว่าตนเองและเครือข่ายอำนาจจะยังมีพื้นที่เล่นบทบาท ทางการเมือง พิทักษ์และเก็บเกี่ยวอำนาจและผลประโยชน์เอาไว้ได้ในอนาคตสมัยที่กำลังจะมา ถึง ตลอดจนกุมอำนาจนำในการกำหนด ‘จุดศูนย์ดุลใหม่’ (a new center of gravity) ของโครงข่ายสัมพันธภาพเชิงอำนาจ

ใน แง่นี้ การโค่นล้มระบอบทักษิณ ไม่ใช่การเปลี่ยนระบอบเพราะต่อให้มีหรือไม่มีทักษิณ เศรษฐกิจการเมืองไทยก็จำต้องอิงตามกระแสโลกอยู่แล้วไม่มากก็น้อย ยังคงจำต้องเป็นระบอบที่เปิดรับต่อการค้าการลงทุนระหว่างประเทศในกรอบแนวคิด เสรีนิยมใหม่อยู่เป็นหลักเหมือนเดิม คงไม่เตลิดไปไกลถึงขั้นเกาหลีเหนือเป็นแน่ หากแต่การโค่นล้มระบอบทักษิณในแง่มุมตามที่ข้าพเจ้าอธิบาย ก็คือ การสลายขุมกำลังอำนาจของทักษิณและเครือข่ายเพื่อกำจัดความเป็นไปได้ที่พวก เขาจะชิงบทบาทนำในการจัดระเบียบสัมพันธภาพเชิงอำนาจใหม่และมีส่วนกำหนด ‘จุดศูนย์ดุลใหม่’ ของสัมพันธภาพ

ใน แง่นี้ กองทัพจึงต้องฉวยชิงบทบาทในเรื่องนี้ไปจากกลุ่มมุ้งในขั้วอำนาจเก่าขั้ว เดียวกับตนด้วยเช่นกัน แล้วชูตนเองขึ้นเป็นผู้จัดสรรอำนาจ-มอบหมายภารกิจให้กลุ่มมุ้งเหล่านั้น ไม่ว่าจะเป็นนักการเมืองอนุรักษ์นิยม ศาล องค์กรอิสระ ฯลฯ ทั้งนี้ เพราะแม้ว่าพวกเหล่านี้ดูเหมือนจะสังกัดขั้วอำนาจเก่าเหมือนกัน แต่ไม่อาจเป็นหลักประกันที่มั่นใจได้เพียงพอและไม่ ‘ต่อสายตรง’ เพียงพอว่า ยุคสมัยใหม่จะมีพื้นที่เล่นบทบาทการเมืองที่กว้างขวางพอให้กับองคาพยพ การเมืองที่ล้าสมัยที่สุดอันหนึ่งสำหรับการเมืองสมัยใหม่

การที่กองทัพจะรับเหมาอำนาจไปเป็นผู้จัดการโครงข่ายสัมพันธภาพเชิงอำนาจที่ กว้างขวาง ยุ่งเหยิง และสลับซับซ้อน และการที่กองทัพจะจำกัดความเป็นไปได้อันไม่พึงประสงค์ จำเป็นต้องรวบอำนาจเบ็ดเสร็จ และไม่มีถนนเส้นใดนำไปสู่การรวบอำนาจไว้ที่กองทัพได้เบ็ดเสร็จ นอกจากเส้นทางรัฐประหาร (พร้อมมาตรการหลังรัฐประหารดังที่เราปรากฏเห็น)

แต่ขณะเดียวกัน ก็ไม่มีถนนเส้นใดจะนำประเทศข้ามผ่านระยะอันยากลำบากนี้ไปสู่สังคมที่มี ประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ได้ นอกจากเส้นทางรัฐประหาร ซึ่งขัดกับแก่นสารัตถะของประชาธิปไตย

ด้วยเหตุผลดังกล่าวมานี้ จึงต้องเข้าใจว่าประเทศของเรากำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านทั้งในแง่ รัฐธรรมนูญ การปฏิรูปโครงสร้างประเทศ และการก้าวไปสู่ประชาคมอาเซียน และเป็นช่วงเวลาที่ยากลำบาก เปราะบาง อ่อนไหว ต้องการเสถียรภาพและความสามัคคีอย่างมาก

จากที่กล่าวมาทั้งหมดท่านผู้อ่านก็คงจะเห็นว่านี่ไม่ใช่เรื่องการต่อสู้ต่อรอง ทางอำนาจ หรือ ‘power play/ power struggle’ ระหว่างชนชั้นนำกลุ่มต่างๆ นี่ไม่ใช่การเมืองของชนชั้นนำ หากแต่เป็นเรื่องความมั่นคงและมั่งคั่งของประเทศชาติโดยแท้จริง!

ดังนั้น รัฐประหาร จึงมิอาจเสร็จสิ้นได้ในขั้นตอนของมันเอง หากแต่ต้องต่อยอดหลังรัฐประหารด้วยมาตรการควบคุมจำกัดเสรีปฏิบัติของพลเรือน ให้อยู่ในระเบียบวินัย อาจมีการลิดรอนสิทธิเสรีภาพไปบ้าง ก็อาจเป็นเรื่องที่ต้องทำเพื่อความสงบและการฟื้นคืนระเบียบสังคม การสถาปนาระบอบกึ่งอำนาจนิยมทหารสักหน่อยก็อาจเป็นเรื่องจำเป็น การนองเลือด จลาจล หรือกระทั่งสงครามกลางเมือง ก็อาจเป็นความเป็นไปได้หนึ่งที่ต้องยอมแลกสำหรับกรณีที่เลวร้ายที่สุดเพื่อ การรับประกันว่ากองทัพจะเป็นหน่วยงานที่กุมอำนาจในยามเปลี่ยนผ่านสู่ประชาคม อาเซียน กระนั้นเอง ก็อาจเป็นดังคำกล่าวแต่โบราณยุค พาลีโอโซอิกที่คนเนียนเดอธาล (Neanderthal) กล่าวไว้ว่า หลายครั้งระบอบฟาสซิสต์ก็สามารถเป็นจุดเริ่มต้นที่ปลุกตื่นสังคมให้เดินไป สู่ประชาธิปไตยในบั้นปลายได้

นี่จึงเรียกได้ว่าเป็นรัฐประหารที่แผ้วถางทางแด่มวลชนอย่างแท้จริง บุรุษผู้เสียสละรับภาระอันหนักอึ้งเทียบเท่า Superman เช่นนี้ มีอยู่จริง มิใช่มีเพียงฮีโร่ในภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด หากเราอ่านประวัติศาสตร์มากพอ ประเทศชาติของเรามีสัตว์บุรุษเช่นนี้หลายท่านด้วยกัน เราจึงเป็นเราอย่างที่เป็นทุกวันนี้ได้ ท่านยอมสละตนให้คนด่า เปรียบเหมือนผ้าขี้ริ้ว ที่ยอมเปรอะเปื้อนสกปรกกว่าผ้าผืนอื่นใดเพียงเพื่อให้สิ่งอื่นได้สะอาด กระนั้น ผ้าชิ้นใดเป็นผ้าขี้ริ้วแล้ว ก็จะไม่มีใครนำมาสวมใส่ต่อ เว้นเสียแต่คนไม่เต็มเต็ง

สำหรับท่านผู้อ่านที่ตามข้าพเจ้าทัน ข้าพเจ้าร้องขอให้ท่านที่คิดต่อต้านรัฐประหาร หยุดการเคลื่อนไหวอันเปล่าประโยชน์เสียเถิด เพราะ “Death (and who is going to death) is so terribly final, while life is full of possibilities” และขอฝากทิ้งท้ายสำหรับท่านที่ ณ ประโยคนี้ก็ยังกวาดสายตาทันความหมายได้อยู่ว่า “Brace yourself, the Winter is coming” …ฤดูหนาวกำลังจะมา รักษาตัวให้ดี