ในความเคลื่อนไหวทางการทูตที่สำคัญ เจ้าหน้าที่จากสหรัฐอเมริกาและอิหร่านเพิ่งเสร็จสิ้นการเจรจานิวเคลียร์ทางอ้อมรอบที่สอง ซึ่งมีโอมานเป็นผู้ไกล่เกลี่ยและจัดขึ้นที่กรุงโรม โดยทั้งสองฝ่ายต่างอธิบายว่าการพูดคุยเป็นไปในเชิง “สร้างสรรค์” และมี “ความคืบหน้า” อย่างชัดเจน
รัฐมนตรีต่างประเทศของอิหร่าน อับบาส อะรอกชี และทูตพิเศษของสหรัฐฯ สตีฟ วิตคอฟฟ์ เป็นผู้นำการหารือครั้งนี้ โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าจะเริ่มการเจรจาในระดับผู้เชี่ยวชาญ เพื่อจัดทำกรอบข้อตกลงฉบับใหม่ ท่าทีที่อ่อนลงและเปิดกว้างในครั้งนี้ สะท้อนความเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงจากเพียงไม่กี่เดือนก่อน ที่ทั้งสองประเทศยังคงเผชิญหน้ากันด้วยถ้อยคำที่ตึงเครียด
สิ่งที่น่าสนใจคือ ก่อนหน้านี้ ความเป็นไปได้ในการกลับมาทำข้อตกลงดูเหมือนจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้เลย ประธานาธิบดีทรัมป์เคยกล่าวเตือนเรื่องการใช้กำลังทหาร ขณะที่อิหร่านเดินหน้าสะสมยูเรเนียมเกินข้อตกลงเดิม การแลกเปลี่ยนระหว่างสองรัฐบาลเต็มไปด้วยคำขู่และข้อกล่าวหา แต่บัดนี้ ความเป็นไปทางการทูตกำลังปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งสองฝ่ายดูเหมือนจะประเมินต้นทุนของความขัดแย้งใหม่ และตระหนักว่าการยืดเยื้ออาจไม่เป็นผลดีต่อฝ่ายใด
ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่า ข้อตกลงนิวเคลียร์ระหว่างสหรัฐฯ และอิหร่านเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อทั้งสองฝ่ายมีเจตจำนงทางการเมืองร่วมกัน โดยจะต้องมีแรงจูงใจที่จับต้องได้ สำหรับสหรัฐฯ ในยุคโอบามา นั่นหมายถึงการทิ้งมรดกทางการต่างประเทศ และการหลีกเลี่ยงสงคราม ส่วนอิหร่านในขณะนั้น ต้องการหลุดพ้นจากการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจอย่างหนักหน่วง ความสอดคล้องของผลประโยชน์ทำให้เกิดข้อตกลงประวัติศาสตร์ JCPOA ในปี 2015
ในยุครัฐบาลทรัมป์ การเดินหน้าสู่ข้อตกลงอาจมีแรงจูงใจหลายด้านร่วมกัน ประการแรกคือภาพลักษณ์ของชัยชนะทางการต่างประเทศ ที่สามารถแก้ไขปัญหาระหว่างประเทศที่ซับซ้อนได้ โดยไม่ต้องส่งกองทัพเข้าสู่สงคราม ซึ่งอาจเป็นเครื่องมือสำคัญในการเพิ่มคะแนนนิยมทางการเมือง รัฐบาลอาจอ้างได้ว่า “จัดการอิหร่านได้ดีกว่าผู้นำคนก่อน”
ยิ่งไปกว่านั้น การทำข้อตกลงยังช่วยเลี่ยงสงครามที่ทั้งไม่เป็นที่นิยม และมีต้นทุนสูง แม้ก่อนหน้านี้จะมีคำขู่หลายครั้ง แต่คนอเมริกันส่วนใหญ่ไม่ต้องการให้ประเทศเข้าสู่สงครามใหม่อีกในตะวันออกกลาง หลังจากประสบการณ์จากอิรักและอัฟกานิสถาน การโจมตีอิหร่านอาจนำไปสู่ความขัดแย้งระดับภูมิภาค และสร้างความสูญเสียทั้งชีวิตและงบประมาณ การเลือกเจรจาจึงอาจถูกวางกรอบว่าเป็น “ทางเลือกที่ชาญฉลาด” และ “ปกป้องผลประโยชน์ของชาติ”
ขณะที่วาทกรรมแข็งกร้าวของทรัมป์อาจไม่ใช่การส่งสัญญาณเตรียมโจมตีจริงจัง แต่อาจเป็นกลยุทธ์เพื่อบีบให้อิหร่านยอมเข้าสู่โต๊ะเจรจา โดยใช้ความกดดันอย่างต่อเนื่องจนเตหะรานต้องยอมผ่อนปรนบางประเด็น ซึ่งเป็นวิธีเจรจาแบบ “ขู่เพื่อได้เปรียบ” ตามสไตล์ของทรัมป์มาโดยตลอด
สำหรับอิหร่าน แรงจูงใจในการหันกลับสู่โต๊ะเจรจาก็มีความชัดเจนไม่แพ้กัน เศรษฐกิจของประเทศตกต่ำอย่างรุนแรงจากการคว่ำบาตรอเมริกา เงินเฟ้อพุ่งสูง ว่างงานกระจาย ค่าเงินเรียลอ่อนค่าลงอย่างหนัก ชนชั้นกลางที่เคยเป็นความหวังของการปฏิรูป กำลังเผชิญความสิ้นหวัง การฟื้นฟูข้อตกลงจึงอาจหมายถึง “ทางออกสุดท้าย” ที่นำมาซึ่งทั้งการฟื้นฟูเศรษฐกิจ และความมั่นคงทางการเมือง
นอกจากนี้ ผู้นำอิหร่านยังมองว่าโครงการนิวเคลียร์เป็น “หลักประกันความอยู่รอดของระบอบ” แต่ในขณะเดียวกัน ก็เสี่ยงต่อการถูกโจมตีจากอิสราเอลหรือแม้แต่สหรัฐฯ ด้วยการบรรลุข้อตกลงที่มีเงื่อนไขชัดเจน อิหร่านจะสามารถรักษา “อำนาจการยับยั้ง” ของตนไว้ได้ โดยไม่ต้องแลกกับการทำลายล้างจากสงคราม อีกทั้งยังลดแรงกดดันในภูมิภาคได้อีกทาง
ขณะนี้ ผลประโยชน์ของทั้งสองฝ่ายเริ่มมาอยู่ในทิศทางเดียวกัน — สหรัฐฯ ต้องการชัยชนะทางการทูตโดยไม่ต้องทำสงคราม ส่วนอิหร่านต้องการทางออกจากวิกฤตเศรษฐกิจและภัยคุกคามรอบด้าน แม้จะยังไม่มีอะไรรับประกันว่าข้อตกลงจะเกิดขึ้นแน่นอน แต่เงื่อนไขที่เอื้อต่อความสำเร็จกำลังเริ่มก่อตัวขึ้น
กล่าวโดยสรุป แม้ข้อตกลงระหว่างสหรัฐฯ กับอิหร่านจะดูแทบเป็นไปไม่ได้เมื่อไม่นานมานี้ แต่วันนี้กลับดูเป็นไปได้มากกว่าที่เคย ความปรารถนาร่วมกันที่จะหลีกเลี่ยงความขัดแย้ง และผลประโยชน์ที่ทั้งสองฝ่ายพร้อมจะแลกเปลี่ยน ทำให้ความพยายามทางการทูตกำลังฟื้นกลับมาอย่างจริงจัง โลกอาจได้เห็นตัวอย่างของการเจรจาระหว่างศัตรู ที่เกิดขึ้นไม่ใช่เพราะไว้วางใจ แต่เพราะ “ความจำเป็น” และ “ผลประโยชน์ร่วม” ต่างหาก
อ้างอิง อัลอะราบิยา